เกิดขึ้นได้เมื่อเลือดไหลเวียนไม่ค่อยดี ทำให้กล้ามเนื้อคอบ่าไหล่รู้สึกตึงไปหมด (เวลาไปนวดเราเลยมีคอร์สนวดคอบ่าไหล่ เป็นเซ็ตๆไป) จริงๆ แล้วคุณ Yoshida บอกว่าแค่สังเกตอวัยวะบางส่วนก็ช่วยให้รู้ว่าเค้าคนนั้นมีแนวโน้ม “ปวดคอบ่าไหล่ง่าย” หรือ “ไม่ปวดคอบ่าไหล่” อวัยวะนั้นคือ..
“กระดูกไหปลาร้า” ครับ . และให้สังเกตองศาของกระดูกไหปลาร้าให้ดีๆ เพราะกระดูกไหปลาร้านั้นเชื่อมกับกล้ามเนื้อ Trapezius ที่ได้เล่ามาโดยตรง .
คุณ Yoshida บอกว่า ไหปลาร้าที่อยู่ในตำแหน่งปกติ ควรจะขนานไปกับพื้น แต่หากใครมีไหปลาร้าเด้งขึ้น(ไหล่จะตั้ง) หรือไหปลาร้ากดลง(ไหล่จะตก) คือตำแหน่งที่อยู่เฉยๆ กล้ามเนื้อสามเหลี่ยม Trapezius ก็ได้รับผลกระทบ (เหมือนถูกดึงหรือรั้งตลอดเวลา) นั่นจึงทำให้คนไหปลาร้าแบบนี้ปวดคอบ่าไหล่ง่าย
พอบอกไปแบบนึ้ เพื่อนๆ เริ่มลองคลำดูกระดูกไหปลาร้าของตัวเองแล้วใช่มั้ยครับ (ปล.ผมก็คลำแล้วเหมือนกัน ไหปลาร้าตั้งขึ้นเยอะมาก (ไหล่ตั้ง) เลยไม่แปลกใจทำไมถึงปวดคอบ่าไหล่ง่าย อยู่เฉยๆ ก็ปวดได้แล้วเนี่ย
วิธีสังเกตง่ายๆ -เอาแขนแนบลำตัวก่อน -สังเกตไหปลาร้าบริเวณใต้คอ จะมีจุดที่บุ๋มลงไปอยู่ ให้เริ่มตรงนั้นแล้วลากขึ้นไปถึงส่วนไหล่ -สังเกตว่า องศาไหปลาร้าของเราเป็นอย่างไร -ถ้าไหปลาร้าขนานกับพื้น =ปกติ -ถ้าไหปลาร้าตั้ง หรือกดลงมา (ห่างเพียงแค่ 1 นิ้วมือ) = มีโอกาสปวดคอบ่าไหล่ง่าย
จริงๆ แล้วตำแหน่งของกระดูกไหปลาร้าปรับเปลี่ยนไปตามลักษณะนิสัยในการใช้ชีวิต โดยเฉพาะคนที่ทำงานอยู่บ้าน (Telework) ที่มักจะอยู่หน้าคอมเป็นระยะเวลานานๆ มักจะมีแนวโน้มนั่งหลังค่อม (คอโน้มเอียงไปข้างหน้า) เวลาเรานั่งแบบนี้นานๆ บ่อยๆ เข้าจะทำให้ไหปลาร้าเราดีดขึ้นด้วย (สังเกตรูปสุดท้าย)
แต่ถ้าใครรู้สึกว่าตัวเองอาจปวดคอบ่าไหล่เพราะตำแหน่งของกระดูกไหปลาร้า คุณ Yoshida ก็แนะนำวิธีการแก้ไขดังต่อไปนี้(จะช่วยให้ไหปลาร้ากลับมาอยู่ในตำแหน่งปกติ) วิธีนั้นเรียกว่า 鎖骨ほぐし หรือการคลายกระดูกไหปลาร้า ทำได้ด้วยการใช้นิ้วหนีบส่วนหนัง และไขมันของกล้ามเนื้อ Trapezius ด้านบน
ค่อยๆ ใช้นิ้วบีบ คีบๆ เฉพาะส่วนผิวหนังและไขมันบนกล้ามเนื้อ Trapezius ตั้งแต่บริเวณใกล้คอ ไปจนถึงบริเวณไหล่ช้าๆ ใช้เวลาประมาณ 5 นาที/วัน ก็เพียงพอแล้วครับ (ถ้าทำต่อเนื่องประมาณ 2-3 สัปดาห์ กระดูกไหปลาร้าเราจะเริ่มขยับกลับเข้าที่) ปล.ไม่แนะนำให้นวดเข้าไปที่กล้ามเนื้อแรงๆ นะ
ปล. สุดท้ายขอย้ำนะครับว่า วิธีที่คุณ Yoshida บอกไว้คือ คีบหนีบเอาส่วนหนัง คีบไขมันบนกล้ามเนื้อ Trapezius แล้วค่อยๆ ดึงขึ้นอยี่งนุ่มนวล (ไม่ได้บอกให้นวดลงไปหนักๆ นะครับ) ลองทำกันดู
สงสัยมั้ยทำไมคนเราถึงกินเผ็ดได้แตกต่างกัน คนๆ นึงกินเผ็ดเก่งมาก แต่อีกคนกินเผ็ดไม่เก่ง หรือกินแทบไม่ได้เลย . เรื่องนี้รายการทีวีที่ญี่ปุ่นเค้าไปหาคำตอบให้ เรื่องราวน่าสนใจมาก เลยเอามาฝากเป็นความรู้กันครับ #สุขภาพญี่ปุ่นกับคุณบูม Cr: Shujiigamitsukaru Shinryoujo
เราอาจจะติดภาพว่าคนญี่ปุ่นนั้นทานเผ็ดไม่ค่อยเก่ง แต่คนกลุ่มหนึ่งที่บ้านเค้าก็ชอบทานของเผ็ดนะครับ บางคนนี่ตามแสวงหาความเผ็ดเลย มีเมนูเผ็ดๆ ที่ไหนก็จะตามไปกิน เห็นเค้าใส่พริกก็แอบตกใจ ใส่ขนาดนั้นไหวจริงหรือ เธรดนี้เจาะลึกเกี่ยวกับ คนทานเผ็ดเก่ง และคนทานเผ็ดไม่ค่อยได้ ทำไมถึงต่างกัน
รายการบอกว่า คนกินเผ็ดเก่ง กับคนกินเผ็ดแทบไม่ได้นั้น ต่างกันที่ “การรับรู้ความเจ็บปวด” (ไม่ใช่การรับรู้รสชาติในอย่างที่เข้าใจกัน) ความเผ็ดและความเจ็บปวดมีความสัมพันธ์กันอย่างไร เราไปถาม ศ.ดร.Tominaga ผู้เชี่ยวชาญด้านสรีรวิทยาของเซลล์ ที่สถาบันวิจัยสรีรวิทยาแห่งชาติญี่ปุ่น
ท่านย้ำกับเราเลยว่า ความเผ็ดนั้น ทำงานกับ “ส่วนรับรู้ความเจ็บปวด” ไม่ได้ทำงานกับ “ส่วนรับรู้รสชาติ” นะ เวลาเรากินของเผ็ด เซนเซอร์ที่ทำงานกับรสชาติเผ็ดเลยจะเป็น “เซนเซอร์รับรู้ความเจ็บปวด”
อันนี้เป็นภาพตัวอย่างเซนเซอร์รับรสชาติที่อยู่ในลิ้น ตุ่มรับรสจะที่อยู่ในลิ้นจะรับรสชาติได้ 5 อย่าง หวาน ขม เค็ม เปรี้ยว และอุมามิ . ในทางกลับกันเวลาเราทานของเผ็ดเข้าไป จะใช้อีกเซนเซอร์นึงที่อยู่ด้านในลิ้นนั่นคือ เซนเซอร์รับรู้ความเจ็บปวดจะทำงานตอบสนองกับของเผ็ดที่เราทานเข้าไป
และความรู้สึกเผ็ด เกิดจากเกิดจากการตอบสนองของเซนเซอร์รับความรู้สึกเจ็บปวด เวลากินของเผ็ดเราเลยรู้สึกแสบๆ ที่ลิ้น นั่นเอง
อาจารย์บอกว่าถ้าอยากรู้ว่า ทำไมคนนึงถึงกินเผ็ดเก่ง ในขณะที่อีกคนนึงกินเผ็ดไม่เก่งเลย ให้โฟกัสที่ TRPV1 ซึ่งเป็นส่วนที่ตอบสนองต่อสาร Capcaisin ที่อยู่ในพริก . เค้าคนนั้นมี TRPV1 ทำงานตอบสนองได้รวดเร็ว? หรือทำงานชักช้าอืดอาด?
ในคนที่ TRPV1 ทำงานดีมาก รับรู้ความรู้สึกได้รวดเร็วนั้น จะทำรู้สึกเจ็บปวด (เผ็ด) ก่อนรู้สึกรสชาติความอร่อย นั่นจึงทำให้ทานเผ็ดได้ไม่ค่อยเก่ง (มันรู้สึกเจ็บ เผ็ด ไม่อร่อย ก็เลยไม่อยากกินเผ็ดอีกไงล่ะ)
ในทางตรงกันข้าม คนที่ TRPV1 ทำงานได้อืดอาด ไม่รับความรู้สึกในทันที คือคนที่รู้สึกได้ถึงความอร่อย ได้มากกว่าความรู้สึกเจ็บปวด นั่นจึงทำให้สามารถทานของกินที่รสชาติเผ็ดได้สบายๆ ครับ
ซึ่งอาจารย์บอกว่า “จำนวน” เซนเซอร์รับรู้ความเจ็บปวดของแต่ละคน รวมถึง “เลเวล” การรับรู้ความเจ็บปวดนั้น เป็นของติดตัวที่เราได้มาตั้งแต่เกิด อยู่ที่พันธุกรรมของแต่ละคนเลย
อย่างงั้นคนที่เซนเซอร์รับรู้ความเจ็บปวด TRPV1 ทำงานดีตั้งแต่เกิด จะทานของเผ็ดไม่เก่งเลยหรอ? อาจารย์ตอบว่าเรื่องนี้ฝึกกันได้ TRPV1 เนี่ย ยิ่งใช้งานบ่อย ยิ่งทำให้รับรู้ได้ช้าลง รู้สึกเจ็บปวดน้อยลง = กินเผ็ดได้มากขึ้นนั่นเอง แม้เริ่มแรกจะกินเผ็ดไม่เก่ง แต่ฝึกเรื่อยๆ ก็จะกินเก่งได้
นอกจากนั้น การทานเผ็ดบ่อยๆ นั้นมีข้อดีบางอย่างด้วยนะครับ! รายการบุกไปที่มหาวิทยาลัย KIO ในจังหวัดนารา ไปสอบถาม ศ.ดร. Yamamoto ผู้เชี่ยวชาญด้านสรีรวิทยาการรับรสชาติ ท่านเล่าว่า การกินเผ็ดจะช่วยให้สมองรู้สึกสุข และช่วยบรรเทาความทุกข์ได้ด้วยนะ
Capcaisin ในพริกนอกจากจะทำให้ลิ้นรู้สึกเผ็ดแล้ว ยังช่วยให้เกิดการหลั่งเบต้าเอ็นโดรฟินในสมอง ทำให้ร่างกายผ่อนคลาย รู้สึกเจ็บปวดน้อยลง นั่นจึงทำให้คนอยากกินเผ็ดอีก ยิ่งกินยิ่งมีความสุข จึงทำให้อยากกินของเผ็ดมากขึ้นเรื่อยๆ จึงไม่แปลกที่คนกินเผ็ดจะกินเผ็ดได้เผ็ดแซ่บจริงๆ
สรุปได้ว่า 1.คนกินเผ็ดเก่ง กับคนกินเผ็ดไม่เก่งเป็นเรื่องที่ถูกกำหนดไว้ตั้งแต่เกิดแล้ว คนกินเผ็ดเก่ง คือคนที่เซนเซอร์รับรู้ความรู้สึกเจ็บปวด TRPV1 รับความรู้สึกช้า เลยกินเผ็ดเก่ง (รับรู้รสชาติอร่อยได้มากกว่า ความเจ็บปวดที่เกิดจากความเผ็ด) .
ในขณะที่คนกินเผ็ดไม่เก่ง คือคนที่ TRPV1 รับความรู้สึกได้เร็ว ชัด เลยรู้สึกเจ็บปวดจากความเผ็ดเป็นพิเศษ 2. แต่เรื่องการกินเผ็ดนั้นฝึกฝนกันได้ ถ้ากินเผ็ดขึ้นทีละนิด แต่กินเรื่อยๆ จะทำให้ TRPV1 เริ่มชิน รับความรู้สึกได้ช้าลง สุดท้ายก็จะกินเผ็ดเก่งได้เอง .
3. หากกินเผ็ดเก่งแล้ว อาจจะหยุดกินเผ็ดไม่ได้นะ เข้าใจไว้เลย 5555 เพราะกินเผ็ดแล้วจะช่วยให้มีความสุข รู้สึกผ่อนคลาย เมื่อรู้สึกแบบนั้นเราจะอยากกินอีก แล้วเลเวลการกินเผ็ดของเราจะสูงขึ้นเรื่อยๆ .