ท่านย้ำกับเราเลยว่า ความเผ็ดนั้น ทำงานกับ “ส่วนรับรู้ความเจ็บปวด” ไม่ได้ทำงานกับ “ส่วนรับรู้รสชาติ” นะ เวลาเรากินของเผ็ด เซนเซอร์ที่ทำงานกับรสชาติเผ็ดเลยจะเป็น “เซนเซอร์รับรู้ความเจ็บปวด”
รายการบอกว่า คนกินเผ็ดเก่ง กับคนกินเผ็ดแทบไม่ได้นั้น ต่างกันที่ “การรับรู้ความเจ็บปวด” (ไม่ใช่การรับรู้รสชาติในอย่างที่เข้าใจกัน) ความเผ็ดและความเจ็บปวดมีความสัมพันธ์กันอย่างไร เราไปถาม ศ.ดร.Tominaga ผู้เชี่ยวชาญด้านสรีรวิทยาของเซลล์ ที่สถาบันวิจัยสรีรวิทยาแห่งชาติญี่ปุ่น
เราอาจจะติดภาพว่าคนญี่ปุ่นนั้นทานเผ็ดไม่ค่อยเก่ง แต่คนกลุ่มหนึ่งที่บ้านเค้าก็ชอบทานของเผ็ดนะครับ บางคนนี่ตามแสวงหาความเผ็ดเลย มีเมนูเผ็ดๆ ที่ไหนก็จะตามไปกิน เห็นเค้าใส่พริกก็แอบตกใจ ใส่ขนาดนั้นไหวจริงหรือ เธรดนี้เจาะลึกเกี่ยวกับ คนทานเผ็ดเก่ง และคนทานเผ็ดไม่ค่อยได้ ทำไมถึงต่างกัน
สงสัยมั้ยทำไมคนเราถึงกินเผ็ดได้แตกต่างกัน คนๆ นึงกินเผ็ดเก่งมาก แต่อีกคนกินเผ็ดไม่เก่ง หรือกินแทบไม่ได้เลย . เรื่องนี้รายการทีวีที่ญี่ปุ่นเค้าไปหาคำตอบให้ เรื่องราวน่าสนใจมาก เลยเอามาฝากเป็นความรู้กันครับ #สุขภาพญี่ปุ่นกับคุณบูม Cr: Shujiigamitsukaru Shinryoujo
ปล. สุดท้ายขอย้ำนะครับว่า วิธีที่คุณ Yoshida บอกไว้คือ คีบหนีบเอาส่วนหนัง คีบไขมันบนกล้ามเนื้อ Trapezius แล้วค่อยๆ ดึงขึ้นอยี่งนุ่มนวล (ไม่ได้บอกให้นวดลงไปหนักๆ นะครับ) ลองทำกันดู
ค่อยๆ ใช้นิ้วบีบ คีบๆ เฉพาะส่วนผิวหนังและไขมันบนกล้ามเนื้อ Trapezius ตั้งแต่บริเวณใกล้คอ ไปจนถึงบริเวณไหล่ช้าๆ ใช้เวลาประมาณ 5 นาที/วัน ก็เพียงพอแล้วครับ (ถ้าทำต่อเนื่องประมาณ 2-3 สัปดาห์ กระดูกไหปลาร้าเราจะเริ่มขยับกลับเข้าที่) ปล.ไม่แนะนำให้นวดเข้าไปที่กล้ามเนื้อแรงๆ นะ
แต่ถ้าใครรู้สึกว่าตัวเองอาจปวดคอบ่าไหล่เพราะตำแหน่งของกระดูกไหปลาร้า คุณ Yoshida ก็แนะนำวิธีการแก้ไขดังต่อไปนี้(จะช่วยให้ไหปลาร้ากลับมาอยู่ในตำแหน่งปกติ) วิธีนั้นเรียกว่า 鎖骨ほぐし หรือการคลายกระดูกไหปลาร้า ทำได้ด้วยการใช้นิ้วหนีบส่วนหนัง และไขมันของกล้ามเนื้อ Trapezius ด้านบน
จริงๆ แล้วตำแหน่งของกระดูกไหปลาร้าปรับเปลี่ยนไปตามลักษณะนิสัยในการใช้ชีวิต โดยเฉพาะคนที่ทำงานอยู่บ้าน (Telework) ที่มักจะอยู่หน้าคอมเป็นระยะเวลานานๆ มักจะมีแนวโน้มนั่งหลังค่อม (คอโน้มเอียงไปข้างหน้า) เวลาเรานั่งแบบนี้นานๆ บ่อยๆ เข้าจะทำให้ไหปลาร้าเราดีดขึ้นด้วย (สังเกตรูปสุดท้าย)
วิธีสังเกตง่ายๆ -เอาแขนแนบลำตัวก่อน -สังเกตไหปลาร้าบริเวณใต้คอ จะมีจุดที่บุ๋มลงไปอยู่ ให้เริ่มตรงนั้นแล้วลากขึ้นไปถึงส่วนไหล่ -สังเกตว่า องศาไหปลาร้าของเราเป็นอย่างไร -ถ้าไหปลาร้าขนานกับพื้น =ปกติ -ถ้าไหปลาร้าตั้ง หรือกดลงมา (ห่างเพียงแค่ 1 นิ้วมือ) = มีโอกาสปวดคอบ่าไหล่ง่าย
พอบอกไปแบบนึ้ เพื่อนๆ เริ่มลองคลำดูกระดูกไหปลาร้าของตัวเองแล้วใช่มั้ยครับ (ปล.ผมก็คลำแล้วเหมือนกัน ไหปลาร้าตั้งขึ้นเยอะมาก (ไหล่ตั้ง) เลยไม่แปลกใจทำไมถึงปวดคอบ่าไหล่ง่าย อยู่เฉยๆ ก็ปวดได้แล้วเนี่ย
คุณ Yoshida บอกว่า ไหปลาร้าที่อยู่ในตำแหน่งปกติ ควรจะขนานไปกับพื้น แต่หากใครมีไหปลาร้าเด้งขึ้น(ไหล่จะตั้ง) หรือไหปลาร้ากดลง(ไหล่จะตก) คือตำแหน่งที่อยู่เฉยๆ กล้ามเนื้อสามเหลี่ยม Trapezius ก็ได้รับผลกระทบ (เหมือนถูกดึงหรือรั้งตลอดเวลา) นั่นจึงทำให้คนไหปลาร้าแบบนี้ปวดคอบ่าไหล่ง่าย
“กระดูกไหปลาร้า” ครับ . และให้สังเกตองศาของกระดูกไหปลาร้าให้ดีๆ เพราะกระดูกไหปลาร้านั้นเชื่อมกับกล้ามเนื้อ Trapezius ที่ได้เล่ามาโดยตรง .
เกิดขึ้นได้เมื่อเลือดไหลเวียนไม่ค่อยดี ทำให้กล้ามเนื้อคอบ่าไหล่รู้สึกตึงไปหมด (เวลาไปนวดเราเลยมีคอร์สนวดคอบ่าไหล่ เป็นเซ็ตๆไป) จริงๆ แล้วคุณ Yoshida บอกว่าแค่สังเกตอวัยวะบางส่วนก็ช่วยให้รู้ว่าเค้าคนนั้นมีแนวโน้ม “ปวดคอบ่าไหล่ง่าย” หรือ “ไม่ปวดคอบ่าไหล่” อวัยวะนั้นคือ..
คุณ Yoshida นักกายภาพบำบัดผู้เชี่ยวชาญการรักษาปัญหาปวดคอบ่าไหล่กับคนไข้จำนวนมาก เล่าเรื่องนี้ว่า เวลาตึงบ่าไหล่ จะตึงไปถึงส่วนใกล้เคียงอื่นๆ ด้วย เช่น คอ หลัง ซึ่งเกิดที่กล้ามเนื้อ Trapezius กล้ามเนื้อรูปสามเหลี่ยมที่ครอบคลุมบริเวณหลังคอมาจนถึงแผ่นหลัง
โอ้ย เมื่อพูดถึงอาการปวดคอบ่าไหล่ นี่ปัญหาใหญ่ของพวกเราเลยนะครับ แค่พูดถึงนี่ก็รู้สึกปวดคอบ่าไหล่ขึ้นมาทันทีเลยเนี่ย 🥹🥹 ยิ่งช่วงนี้เราทำงานที่บ้านมากขึ้น ยิ่งนั่งทำงานจดจ้องคอมในสรีระที่ไม่เหมาะสม ยิ่งทำให้รู้สึกปวดคอบ่าไหล่เข้าไปใหญ่ .
ร่างกายคนเราก็แปลกเหมือนกันนะครับ รายการญี่ปุ่นเค้าไปพิสูจน์ว่ามีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้คนๆ หนึ่งมีอาการ “ปวดคอบ่าไหล่ง่าย” ในขณะที่อีกคนนึงแทบ “ไม่มีปัญหาปวดคอบ่าไหล่” เลย . อะไรคือข้อแตกต่างของคนสองคนนี้ อ่านเหตุผลได้ที่เธรดนี้เลยครับ cr: รายการ shujiigamitsukaru shinryoujo
มันเกี่ยวกับการเติบโตของระบบประสาทในมนุษย์ ซึ่งจะเติบโตไวมากตั้งแต่หลังเกิดไปจนถึงอายุ 10 ขวบ ที่กราฟเติบโตเกือบสมบูรณ์แล้ว (80-100%) ฉะนั้น การฝึกให้ร่างกายยืดหยุ่นได้ดีผ่านการทำกิจกรรมต่างๆ จะได้ผลมากถ้าฝึกในช่วงเด็ก ก่อนถึงอายุ 10 ขวบ ร่างกายจะจดจำได้ยาวถึงตอนเป็นผู้ใหญ่เลย
แต่ต้องทำให้ถูกวิธี และทำอย่างเป็นประจำถึงจะได้ผลนะ กล้ามเนื้อของเราจะค่อยๆ ยืดหยุ่นช่วยให้เราตัวอ่อนได้ในท้ายที่สุด (ผู้ใหญ่แล้วก็ทำได้) . ข้อดีอีกอย่างของการยืดตัวคือ เลือดจะไหลเวียนดี ช่วยให้เส้นเลือดนุ่มขึ้น ป้องกันความเสี่ยงจากโรคเส้นเลือดแข็ง เส้นเลือดอุดตันได้
ความยืดหยุ่นร่างกาย นอกจากจะเกี่ยวกับความกว้างที่ข้อต่อร่างกายสามารถเคลื่อนที่ได้แล้ว ยังเกี่ยวกับกล้ามเนื้อร่างกายด้วย (บางคนไม่ได้ออกกำลังกายนานๆ จะรู้สึกตัวแข็ง ยืดไม่ค่อยได้ เพราะกล้ามเนื้อเราตึงนี่แหละ) ที่ญี่ปุ่นเลยมีหนังสือยอดฮิตจำนวนมากที่ออกมาสอนเกี่ยวกับวิธีการยืดตัว
เพื่อนๆถามว่า การกำหนดว่าเราจะตัวอ่อนหรือตัวแข็งนั้น ขึ้นอยู่กับการทำกิจกรรมตอนเด็ก-10 ขวบ ตามที่รายการบอกมา … แล้วถ้าอายุเยอะแล้ว แล้วอยากตัวอ่อนล่ะ (ย้อนเวลากลับไปก็คงไม่ได้) จะมีวิธีไหนช่วยให้ตัวอ่อน ยืดหยุ่นดีได้มั้ย คุณ Nakajima บอกว่า ทำได้ด้วยการฝึกยืด (Stretching) ครับ
สรุปได้ว่า หากทำกิจกรรมหรือเรียนอะไรที่ช่วยให้ข้อกระดูกเคลื่อนไหวได้เยอะ เช่น ว่ายน้ำ บัลเลต์ ฯลฯ ตั้งแต่เด็กจนถึง 10 ขวบ จะมีแนวโน้มว่าร่างกายจะจำการเคลื่อนไหวนั้นได้ ทำให้ตัวอ่อนจนถึงตอนโต กีฬาว่ายน้ำเราจะวาดแขนไปไกลๆ ได้ขยับกระดูกสะบักเยอะ รวมถึงข้อต่อสะโพกด้วย
ไปถามนักกายกรรมสาวหลายคนว่า ช่วงเด็กเคยเรียนอะไรมามั้ยที่ช่วยให้ข้อกระดูกเคลื่อนไหวได้กว้างมาก - ตอนอายุ 6-12 ฉันไปโรงเรียนว่ายน้ำตลอดเลย - ตั้งแต่ 4 ขวบถึงจบมหาลัย ฉันเล่นยิมนาสติกลีลา - ตั้งแต่ 6-10 ขวบฉันเรียน Classic Ballet - ฉันเรียนว่ายน้ำจนถึงช่วง ป3 .
คุณ Nakashima นักกายภาพบำบัดประจำโรงเรียนกีฬา Tokyo Medical เล่าว่า . คนตัวอ่อนทุกคนมีจุดร่วม 1 อย่างที่เหมือนกันคือ “ข้อกระดูกที่เคลื่อนที่ได้กว้างมาก” และพวกเค้าจำการเคลื่อนไหวนั้นได้ถึงตอนเป็นผู้ใหญ่ หากเค้าทำทำกิจกรรมอะไรบางอย่างตั้งแต่ช่วงเด็กจนถึงอายุ 10 ขวบ
โดยเฉพาะบริเวณที่มีเส้นสีแดงๆ ในภาพเป็นจุดที่คุณหมอย้ำมาก จะสังเกตได้ว่า ยืนหยุ่นมากๆ จริงๆ ซึ่งในคนตัวอ่อน ส่วนนี้จะยืดหดได้ดีมาก . ซึ่งก็จะช่วยข้อต่อต่างๆ ขยับได้ในอาณาเขตที่กว้างขึ้นด้วย
พอเข้าเครื่อง MRI เสร็จก็มาฟังคำอธิบายของคุณหมอ Sugahara เค้าอยากให้สังเกตจุดตรงกลางภาพที่ชี้อยู่ให้ดีๆ ในภาพนี้คือแนวข้างของลำตัว ด้านซ้ายสุด (อักษรสีน้ำเงิน) เขียนว่า ฝั่งท้อง อักษรสีแดงตรงกลางคือ กระดูกสันหลัง และอักษรสีชมพูคือ ฝั่งหลังของเธอ . แล้วไปดูกันต่อว่าพิเศษอย่างไร