⠵⠑⠝⠚⠊(@zenjigame)さんの人気ツイート(新しい順)

101
มันไม่ได้อยู่ที่ว่าคุณอ่านหนังสือประเภทไหน มันอยู่ที่ว่าคุณอ่านเพื่ออะไร สิ่งที่คุณได้จากหนังสือ แม้เป็นเล่มเดียวกัน ก็จะต่างกัน วันที่คุณหยิบหนังสือเล่มเก่ามาอ่านใหม่ด้วยจุดประสงค์ในหัวที่ต่างจากเดิม โลกอักขระในนั้นก็กลายเป็นการเดินทางครั้งใหม่ให้คุณได้ตื่นเต้นไปกับมันอีกครั้ง
102
#มีศัพท์Textมาเสนอ ardently = (มีอารมณ์) อย่างแรงกล้า yearning = ความปราถนาอันแสนยาวนาน (ในอะไรบางอย่าง) brazenly = อย่างไม่เกรงกลัว grandeur = สิ่งที่ดูสูงศักดิ์ inveterate = ที่ติดเป็นนิสัย monumental = อย่างมหันต์ prosaic = ธรรมดาๆ จืดชืด peripatetic = เดินทางไป-มา
103
#มีศัพท์Textมาเสนอ servitude = ความเป็นทาส ถ้าใช้ในเชิงรัฐศาสตร์หรือกฎหมายแปลว่า “ภาระจำยอม” ได้ด้วยครับ horrid = น่ากลัว, น่าสยดสยอง palpable = ซึ่งสัมผัสได้, ซึ่งรับรู้ได้ชัดเจน virility = ความมีกำลังวังชา malady = โรค ignominiously = อย่างน่าอัปยสอดสู
104
#มีศัพท์Textมาเสนอ credulity = ความเชื่อคนง่าย, หูเบา satirize = ถากถาง, เหน็บแนม frivolous = เหลาะแหละ, ทำอะไรเล่นๆ ไม่เอาจริงเอาจัง unselfconcious = ซึ่งไม่เสแสร้ง blatantly = (แสดงออกมา) อย่างโจ่งแจ้ง arduous = อันแสนยากลำบาก, ตรากตรำ esoteric = (บางอย่าง) ซึ่งรู้กันในวงจำกัด
105
FYI สำหรับคนเรียนภาษาญี่ปุ่น การสอบวัดระดับภาษาญี่ปุ่นในประเทศไทยไม่ได้มีแค่ JLPT นะครับ จริงๆ มี 4 อัน (เท่าที่ผมรู้) วันนี้โดนนร.ถามมาเลยมาแชร์ด้วย JLPT EJU อันนี้เป็นข้อสอบเพื่อเข้ามหาลัยที่ญป JPT อันนี้เหมือน TOEIC เลยครับ J TEST อันนี้จะคล้าย ๆ IELTS มีเขียนด้วย
106
#มีศัพท์Textมาเสนอ อ่าน Text แล้วเจอศัพท์น่าสนใจ 1. lyceum = ใน text ให้ค.หมายว่า ห้องแสดงปาฐกถา แต่จริงๆ ยังหมายถึงสถานศึกษารูปแบบหนึ่งด้วยครับ 2. bequeath = กริยา แปลว่า มอบให้ ยกให้ ใน text ใช้ในบริบทที่คนมีค.รู้มากกว่ายกค.รู้ให้ 3. Chalatan = คนแสร้งทำเป็นมีค.รู้ มีทักษะ
107
ที่ปรึกษาป.ตรีพูดว่ามีคนในโลกวิชาการสองแบบใหญ่ ๆ คนที่ see things as they are กับ see things as they should be 2 แบบนี้ไม่ได้ compete กัน แต่ compromise สำคัญคือ ต้องรู้จักเรียนรู้ว่าอีกฝ่าย set value ไว้ยังไง แบบไหน เรื่องต่าง ๆ ของเราอยู่จุดไหนบน spectrum นี้
108
มีคอร์สออนไลน์มาเสนอครับ เป็นคอร์สโดยภาควิชาภาษาศาสตร์ จุฬา คอร์สนี้มีที้งสิ้น 11 ตอน พูดถึงเรื่องการเปลี่ยนแปลงภาษา (Language Change) ตัวคอร์สจะพาทุกคนไปทำความเข้าใจการเปลี่ยนแปลงในทุกระดับเลยครับ ตั้งแต่เสียง คำ ไวยากรณ์ ใครสนใจลองดูคลิปแนะนำได้ครับ youtu.be/8IZFvhUXfnc
109
สมัยเรียนก็ว่ามันหนักจริงแหละ แต่ไม่รู้ภาคอื่นยังไง พอผลสำรวจนี้ออกมาพูดได้มากขึ้นหน่อยว่า ภาคสังคมปี 3 คือตายจริงๆ บ่นกันทุกรุ่น เปลี่ยนหลักสูตรแล้วก็ไม่ได้ “เข้มข้น” น้อยลงแต่อย่างใด 55
110
ทำ self-reflection บ่อย จนมีไกด์ไลน์ที่ใช้ประจำ อยากสำรวจตัวเองแต่ไม่รู้เริ่มยังไงลองดูสูตรผมกัน 55 1 ตอนนี้ทำกี่บทบาท 2 บทบาทต่างๆ ดำเนินราบลื่นไหม อะไรกำลังจะจบ อะไรเพิ่งเริ่ม ทิศทางแต่ละอันเป็นไง 3 แต่ละบทบาท โอเค/ไม่โอเค? เพราะอะไร? (อันนี้ทำเพื่อหาต้นตอการ burn out ด้วย)
111
สอนเรื่องการเขียนความนำใน essay เชิงวิชากรไปเมื่อวาน เอาสไลด์ส่วนหนึ่งที่ใช้สอนมาแชร์ครับ สไลด์พูดถึงขั้นตอนของการเขียนความนำที่ treat ความนำเหมือนบทคัดย่อหรือเรื่องย่อของงานเขียน เป็นลักษณะการเขียนความนำที่ใช้กับการงานได้หลายประเภท ทั้งเปเปอร์วิจัย เปเปอร์ส่งในคลาส
112
(7) ในแง่นึง พอค.หมายของ toxic masculinity กว้างขึ้น คำนี้ก็นำไปใช้ในค.หมายว่า “ผู้หญิง” ที่มีพฤติกรรมหรือทัศนคติแย่ อยู่แล้วรู้สึกเป็นพิษ ได้เช่นกัน ตอนนี้ทั้งสองคำอยู่ในภาวะที่ค.หมายเกิดค.ลื่นไหลอยู่ หากนำไปใช้ควรระบุค.หมายที่ต้องการสื่อให้ชัดเจนเพื่อกันค.เข้าใจคลาดเคลื่อนครับ
113
(6) เช่นค่านิยม อาทิ ผู้หญิงต้องรักนวลสงวนตัว ผู้หญิงห้ามพูดจาโผงผาง ผู้หญิงควรนอบน้อมเชื่อฟังคนอื่น ผู้หญิงต้องมีเสน่ห์ปลายจวัก ได้ไปกดทับเสรีภาพพึงกระทำได้ของผู้หญิง หรือสร้างเงื่อนไขให้ผู้หญิงเสียเอง
114
(5) ด้วยกระแสการใช้ toxic masculinity ที่มากขึ้น คำอย่าง toxic femininity ก็เกิดขึ้นมาด้วย ตรงนี้เป็นปัญหาว่า มันเกิดขึ้นมาจากการเทียบกับ toxic masculinity ใน sense ไหน? แต่ถ้ายึดตามขนบ คำนี้ควรอ้างถึงภาวะที่ความเป็นหญิงตามบรรทัดฐานสังคมถูกใช้ทำร้ายผู้หญิงและส่งผลเสียต่อสังคม
115
(4) ทว่าในปัจจุบันคำนี้ได้ขยายค.หมายโดยคลุมถึง “ตัวผู้ชาย” ที่ใช้ค.รุนแรงในการแก้ปัญหา เหยียดเพศ ทัศนคติป่วย ด้วย ซึ่งฉีกออกจากค.หมายที่ใช้แต่แรก ในแง่นี้จึงอาจจะต้องดูบริบทในการใช้ดีๆ ครับ ค.หมายล่าสุดยังถูกจำกัดในเชิงวิชาการ ดังนั้นหากใครใช้ในงานวิชาการอาจจะต้องระวังนิดนึงครับ
116
(3) นอกจากนี้ ยังใช้อ้างถึงภาวะที่สังคมยอมรับ/ทำเป็นเพิกเฉยต่อค.รุนแรงบางประเภท เช่นการชกต่อยระหว่างผู้ชาย หรือค.รุนแรงในครอบครัว เนื่องจากมองว่าเป็นสิ่งที่ผู้ชายกระทำได้ในสังคมจากธรรมชาติความเป็นชายตามบรรทัดฐานทางสังคม ซึ่งในท้ายที่สุด กลับเป็นผลเสียต่อคนในสังคมเสียเอง
117
(2) คำนี้ถูกคิดขึ้นในช่วงทศวรรษที่ 80-90 ครับ ตามนิยามเดิมหมายถึง การที่ค่านิยมค.เป็นชาย เช่น ผู้ชายต้องปกปิดความอ่อนแอ ต้องมีภาพผู้นำ ดูเข้มแข็ง ดูมีอำนาจ น่ายำเกรง สร้างเงื่อนไขหรือกดดันผู้ชายที่ออกจากบรรทัดฐานดังกล่าวให้ดูด้อยลง ที่เราพูดว่า “ดูไม่แมน” นั่นแหละครับ
118
ว่าด้วยเรื่อง toxic masculinity (1) คนนำคำนี้มาใช้ตามสื่อเยอะขึ้นเรื่อยๆ จำนวนหนึ่งเข้าใจว่าคำนี้พูดถึงผู้ชายที่มีพฤติกรรมหรือทัศนคติที่เป็นพิษเมื่ออยู่ด้วย ที่จริงแล้ว โดยเฉพาะในวงวิชาการคำนี้อ้างถึง สภาพที่บรรทัดฐานทางสังคมเกี่ยวกับเพศชายได้ทำร้ายผู้ชาย รวมถึงคนอื่นๆ ในสังคม
119
ให้นร.เขียน essay ในหัวข้อที่สนใจ นร.เลือก การค้าประเวณี ซึ่งเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องใช้ศัพท์เกี่ยวกับการ "ร่วมเพศ" นร.มีคำถามว่า นอกจาก sexual intercourse แล้ว มีคำอื่นอีกไหม เลยบอกเพิ่มอีก 3 คำ คือ - copulation - coition - fornication (คำนี้ใช้กับการร่วมเพศของคนที่ยังไม่แต่งงาน)
120
เป็นคนติดจำคำศัพท์จากที่มา หรือส่วนประกอบของคำ ชอบพวก prefix / suffix / root มาตั้งแต่จำความได้ รู้สึกว่า ถ้ารู้คำนี้ประกอบมาจากอะไร ประกอบขึ้นมายังไง ก็จะจำคำนั้นได้ไปเลย เช่น พอรู้ว่า ab- แปลว่า ‘away’ คำอย่าง absent / abduct / adject ก็เข้าใจง่ายขึ้นมาทันที
121
น่าเปิดคลาสสอนเขียน essay สอนตั้งแต่กระบวนการคิด เทคนิคจำเป็นพวกการสแกนและคัดเลือกบทความ ดีไซน์บันทึกข้อค้นพบ การใช้ข้อมูลที่ได้ การเขียนส่วนต่างๆ เช่น ความนำแบบต่างๆ กลเม็ดเขียนบอดี้ แถมการใช้ Endnote ทำคลังข้อมูลอ้างอิง สอนว่าใช้การอ้างแบบไหนตอนไหน เอาจริงมหาลัยควรมีวิชานี้
122
มีโอกาสได้สอนการเขียน essay คิดว่าส่วนหนึ่งของสไลด์ที่สอนน่าจะเป็นประโยชน์ต่อคนที่ต้องเขียนงานส่งเป็นประจำ เลยแชร์ให้ครับ เป็นสไลด์สรุปโครงร่างการเขียน ข้อคำนึงในการสร้างหัวเรื่อง protocal ในการ lit review และตัวอย่าง template ใช้จัดการเนื้อหาที่ได้จากการ lit review ครับ
123
#มีหนังสือมาเสนอ นส.เล่มนี้มอง “เวลา” ในฐานะตัวแปรที่มีค.สัมพันธ์กับปรากฏการณ์สังคมครับ นส.พาไปทำค.เข้าใจแนวคิดเกี่ยวกับเวลาในด้านต่างๆ พร้อมทั้งชักชวนให้ตั้งคำถาม อาทิ การรับรู้เกี่ยวกับเวลาเมื่อวิทยาศาสตร์พยายามทำให้เวลาทางสังคมกลายเป็นภาพเชิงปริมาณ ใครสนใจลองหาอ่านดูนะครับ
124
อ้อ อัตรานี้เริ่มใช้ปี 63 นะครับ นิสิตที่เข้าเรียนก่อนปี 63 ยังคงใช้อัตราเดิมจนจบการศึกษาในปริญญานั้นๆ ทั้งป.ตรีและระดับบัณฑิตศึกษาครับ
125
จุฬาประกาศปรับอัตราค่าเล่าเรียนในการศึกษาแต่ละเทอมใหม่แล้วนะครับ ป.ตรี ภาคไทย วิทย์พวกแพทย์ 34000 วิทย์ประยุกต์ เช่น จิตวิทยา 26500 วิทย์กายภาพ พวก สถาปัตย์ วิศวะ 25500 สังคมศาสตร์ และมนุษยศาสตร์ 21000 ป.โท ภาคไทย สายวิทย์อยู่ที่ 33500-48000 สายสังคมและมนุษย์อยู่ที่ 24500-31000