เธรดนี้จะมาเล่าเกี่ยวกับ วิธีการตรวจสุขภาพ (อวัยวะภายใน) ด้วยการสังเกตสีฝ่าเท้าเรา . ลองสังเกตสีฝ่าเท้าตัวเองก่อนว่า เป็นสีอะไร สีชมพู สีแดง สีเหลือง หรือสีม่วง แล้วไปดูเฉลยกันนะครับ . Cr: รายการ Konosatte Nandesuka
ก่อนอื่นขอเริ่มจาก Reference สีฝ่าเท้าก่อนครับ บางคนอาจดูฝ่าเท้าตัวเองแล้วดูไม่ออกว่าสีอะไรบ้าง จะมีสีชมพูอ่อนๆ (รูปขวาล่าง) แดง ม่วง เหลือง และขาว เพื่อนๆ ของสังเกตดูก่อนแล้วไปอ่านต่อได้เลย
หากรู้สึกว่าภาพตะกี้มันดูยาก ผมไปหามาอีกภาพนึงให้ดูครับ เป็นสีของเท้าจริงๆ เลย น่าจะพอนึกภาพออกแล้วใช่มั้ยครับ ☺️☺️☺️ Cr: หนังสือ 足裏分析リフレクソロジー
ขออนุญาตสรุปเรื่องสีฝ่าเท้า บอกสุขภาพอวัยวะภายในไว้แบบนี้ครับ 1.ชมพูอ่อน = สุขภาพดี 2.แดง = หัวใจทำงานไม่ดี 3.เหลือง = ตับทำงานไม่ดี 4.ม่วง = ปอดทำงานไม่ดี และแนะนำให้ทำตามวิธีแก้ไขปัญหาที่ได้แนะนำไปนะครับ แล้วคุณล่ะเห็นฝ่าเท้าตัวเองเป็นสีอะไรกันบ้างครับ #สุขภาพญี่ปุ่นกับคุณบูม
ข่าวนี้ตั้งแต่ 8 เดือนก่อนด แต่ชอบมาก ครูใหญ่โรงเรียนในโตเกียวหลายแห่งออกมาบอกว่า พวกเขาเคารพความหลากหลายทางเพศ เพิ่มทางเลือกให้ นร.ในการแต่งกาย ไม่มีการบังคับว่า ช ต้องแต่ง ช, ญ ต้องแต่ง ญ สามารถเลือกแต่งตัวได้ตามอิสระเลย ความคิดนี้ค่อยๆ แผ่ขยายไปทั่วญี่ปุ่น Cr:TBS NEWS
ตอนนึงในเรื่องเล่าว่า เด็กที่ต้องการเรียนต่อมหาลัยแล้วกำลังทรัพย์ไม่พอ ครูจะแนะให้ยื่นขอทุน นารุมิซึ่งเป็นครูใหญ่ (จริงๆคือซาลารี่แมนที่ถูกย้ายมา)บอกว่า “ทุนนั่นน่ะ ไม่ใช่ทุนจริงๆ นะ มันคือหนี้ประเภทนึง จบมหาลัยเข้าบริษัทได้ คุณมีหน้าที่ต้องใช้ทุนจนหมดควรบอกความจริงนี้ให้เด็กรู้”
คุณตำหนวดช่วยเคลียร์ทางรถให้หน่อยนะ
กาชาปองสองตู้นี้ไอเดียดีมาก! ตู้แรกคุณจะหมุนได้โน้ตลายมือของเหล่าคุณปู่ที่มาแชร์เกร็ดชีวิตที่หลากหลาย แต่ละคนก็จะแชร์ไอเดียการใช้ชีวิตต่างกันไป | ส่วนอีกตู้นึงจะเป็นสูตรลับแกงกะหรี่ของคุณแม่ แต่ละบ้านจะมีสูตรที่แตกต่างกัน หมุนครั้งนึง 200 เยน (50 กว่าบาท) ได้ข่าวว่าคนชอบมากด้วย twitter.com/pitapan2525/st…
ป้ายโฆษณาญี่ปุ่นแถวสถานีรถไฟ Shibuya น่ารักมากกกกก twitter.com/mi6onomu/statu…
สงสัยเจ้าของชอบโทร LINE บ่อย น้องเลยจำเสียงได้แล้วเอามาเลียนเสียงตาม (ว่าแต่…น้องฉลาดมากและน่ารักมากเลยอะ)
1.มาเข้างานทัน แต่เวลาเฉียดฉิวมากเกินไป 2.อ่านนิตยสารหรือหนังสือ ที่ให้ความเพลิดเพลินในที่ทำงาน 3. แต่งหน้าที่โต๊ะ 4. เล่น mail ส่วนตัว ส่งไลน์ ส่ง messenger ในที่ทำงาน 5. ทานข้าวเช้าบนโต๊ะทำงาน 6.ใช้คอมบริษัทเอามาเล่นอินเทอร์เน็ต เกมส์ . โดนไปหลายข้อเลยครับ 🤣🤣🤣
คำพูดเพื่อใช้เอาตัวรอด ในแต่ละวัน = “ได้ครับ” และคำแนะนำ = ห้ามเถียงเด็ดขาด เพราะสวน 1 คำอาจสวดอภิธรรม 7 คืน🤣🤣🤣 ปล.ชอบไอเดียคนคิด Cr: Jones’SALAD
รายการญี่ปุ่นพิสูจน์! วางขนมปังทิ้งไว้ในห้องที่มีอุณหภูมิปกติเพียงแค่ 3วันเชื้อโรคเพิ่มขึ้นมากกว่า 6000 เท่า! บางคนอาจประสบปัญหาซื้อขนมปังมาแล้วกินไม่หมด ยังเหลือขนมปังหลายแผ่นอยู่ในถุงต้องทำอย่างไรดี แช่ในตู้เย็นเอามากินวันหลังก็รู้สึกไม่อร่อย ผู้เชี่ยวชาญญี่ปุ่นเค้าแนะนำแบบนี้
เหล่ามาสคอตญี่ปุ่นอาจจะต้องบินมาดูงานที่ไืทยนะครับ 555555 twitter.com/PFCFORLIVE/sta…
เค้าว่ากันว่าน้ำขวดที่เปิดฝาดื่มไปแล้ว ถ้าดื่มไม่หมดแล้วปิดฝาวางทิ้งไว้ มีความเสี่ยงที่เชื้อโรคในขวดจะมีปริมาณเพิ่มขึ้น ซึ่งเครื่องดื่มบางชนิดแค่วางทิ้งไว้ 1 วัน ตรวจพบว่ามีเชื้อโรคมากกว่าเดิมถึง 75 เท่า! เครื่องดื่มที่ว่าจะเป็นอะไร แล้วเรามีวิธีป้องกันเรื่องนี้อย่างไรไปอ่านกัน
เรื่องนี้ผมดูมาจากรายการญี่ปุ่นชื่อว่า Lesson Ima Desho คุณหมอคุสุมิท่านมาให้ความรู้ว่า การเปิดขวดน้ำดื่มแล้วดื่มทางปาก (ผมก็นิยมดื่มวิธีนี้) จะทำให้เชื้อโรคที่อยู่ในช่องปากของเราเข้าไปอยู่ในเครื่องดื่มได้ เมื่อเวลาผ่านไปเชื้อโรคเหล่านี้จะเพิ่มขึ้นมาก มากขนาดที่เราอาจคาดไม่ถึงเลย
มีคนสงสัย แล้วถ้ามันเป็นเชื้อโรคที่มาจากช่องปากเราอยู่แล้ว จะกลับเข้าไปในปากเราอีกทีคงจะไม่เป็นไรมั้ง!? คุณหมอตอบว่า ในช่องปากเรายังดีที่มีน้ำลายที่ช่วยยับยั้งการแพร่พันธุ์ของเชื้อโรคได้ แต่ในขวดน้ำมันไม่ใช่อย่างนั้นสิ
เมื่อเชื้อโรคจากช่องปากเข้าไปในขวดน้ำ มันจะแพร่พันธุ์ได้ง่าย ขยายตัวเยอะ (ขึ้นอยู่กับประเภทของน้ำด้วย) พอมีเชื้อโรคมากๆ แล้วเราดื่มเข้าไปใหม่ ก็เหมือนเราดื่มน้ำที่มีเชื้อโรคเยอะ อาจเป็นอันตรายต่อร่างกายได้เลย บางคนปวดท้อง บางคนถึงขั้นอาเจียนเลยก็มี
เพื่อให้เห็นภาพมากขึ้นรายการได้ขอให้คุณ Yamaguchi ประธานบริษัทตรวจเชื้อจุลินทรีย์ที่อยู่ในอาหารช่วยทำการทดสอบ โดยจะเอาเครื่องดื่ม 5 ชนิดที่คนญี่ปุ่นนิยมดื่มกันในหน้าร้อน ได้แก่ น้ำเปล่า, ชาเขียว, ชาข้าวบาร์เลย์, sport drinks และน้ำส้ม มาทดลองดู โดยให้อาสาสมัครดื่มน้ำต่างๆจากขวด
แล้วเอาน้ำที่เหลืออยู่ในขวด มาเก็บไว้ในตู้ที่ควบคุมอุณหภูมิ 30 องศา (จำลองสถานการณ์เหมือนวางขวดน้ำทิ้งไว้ในอุณหภูมิห้อง) แล้วจึงวัดจำนวนเชื้อที่อยู่ในเครื่องดื่มต่างๆ เมื่อเวลาผ่านไป 2, 4, 8, 12, 16, 20, 24 ชั่วโมง มาดูกันครับว่า แต่ละเครื่องดื่มจะมีเชื้อโรคมากขึ้นแค่ไหน
แล้วนี่คือจุดตั้งต้นของการทดลองนี้ครับ จำนวนเชื้อโรคเมื่อเริ่มต้นการทดลอง (วัดหลังจากที่มีการเปิดขวดดื่มน้ำ แล้วเชื้อโรคในปากจะเข้าไปในน้ำดื่มแต่ละประเภท น้ำเปล่า 390 ชาเขียว 170 ชาข้าวบาร์เลย์ 360 Sport Drink 16 น้ำส้ม 148
2 ชั่วโมง > 4 ชั่วโมง > 8 ชั่วโมงถัดไปวัดเชื้อโรคได้ดังนี้ -น้ำเปล่า 390 > 140 >160 > 240 -ชาเขียว 170 > 550 > 410 > 700 -ชาข้าวบาร์เลย์ 360> 480 > 580 > 930 -Sport Drink 16 > 66 >0 > 0 (เชื้อโรคลดลงด้วย!) -น้ำส้ม 148 > 450 > 80 > 116
12 ชั่วโมง > 16 ชั่วโมง > 20 ชั่วโมง > 24 ชั่วโมงผ่านไป มีการเปลี่ยนแปลงดังนี้ น้ำเปล่า 330> 296> 196> 196 ชาเขียว 910>3500>8200>10,000 (59 เท่าตัว!) ชาข้าวบาร์เลย์ 1300>5000>9000>27000 (75 เท่าตัว!) Sport drink 0 >0 >0 >0 น้ำส้ม 288>340>530>5000 (34 เท่าตัว!)
จะเห็นได้ว่าชาข้าวบาร์เลย์มีเชื้อโรคเพิ่มสูงสุดคือ 75 เท่า ซึ่งคุณหมอบอกว่าสาเหตุคือ ชาข้าวบาร์เลย์ ทำมาจากข้าวบาร์เลย์ซึ่งเป็นธัญพืชประเภทหนึ่งที่เชื้อโรคชอบมากเพราะในข้าวบาร์เลย์นั้นมีคาร์โบไฮเดรตที่เป็นอาหารของมัน เมื่อมันได้สารอาหารนี้เลยแพร่พันธุ์ได้รวดเร็ว
ในส่วนของ Sport Drink ที่ปริมาณเชื่อโรคลดลง!! เมื่อเวลาผ่านไป เป็นเพราะว่า sport drink มีความเป็นกรด แล้วเชื้อโรคไม่ชอบสภาวะที่มีเป็นกรด หรือเป็นด่างมากเกินไป มันก็เลยไม่เพิ่มจำนวนใน Sport Drink ครับ (คุณหมอกับนักวิจัยก็ตกใจกับผลที่ออกมาเหมือนกันนะครับ เชื้อโรคน้อยลงด้วย)