551
แนวคิดใหม่ที่ลองปรับคือ
• เราทำ task ที่ได้มาเสร็จหรือยัง ถ้าเสร็จแล้ว It’s good enough อย่าคิดว่าตัวเองดีไม่พอ
• ถ้าเริ่มลำบากตัวเอง แนะให้ say no บางอย่างบ้างถึงเราไม่ทำ เขาก็ไม่ลำบาก
• ถ้าทำงานแล้วอึดอัดมากๆ อย่าพยายามทนจนร่างกายแย่ ถ้าหาโอกาสที่ดีได้มากกกว่าให้พิจารณา+
552
• Time = Money จริง แต่ Time ก็มาจากสุขภาพ บ.ขาดเราไป เขาพร้อมที่จะ replace คนใหม่ได้เสมอ
• ผลงานที่เราทำ มันสามารถเป็นอดีต อย่าคิดว่าตัวเองสำคัญที่บ.จะไม่ทิ้งคุณ สิ่งที่ business ต้องการคือ development ต่อให้ผลงานดีแค่ไหน a better one will replace yours
• ลงทุนกับตัวเอง
553
• อย่าเอางาน+ค.เครียดกลับบ้าน
• พยายามเคลียร์ให้เสร็จเป็นอย่างๆ อย่าพยาม multitasking เพราะสมองทำไม่ได้ มันเป็นแค่การหลอกสมองให้โฟกัสหลายอย่าง = การทำงานมีประสิทธิภาพลดลง
• อย่ายึดติดคำว่า “ต้องเก่ง” ชีวิตคนเรามี life long learning
• value เราไม่ได้ขึ้นกับสิ่งของ/ตำแหน่ง
554
• สกิลการ “อยู่เป็น” ยังสำคัญ ตราบใดที่คุณไม่ได้ทำงานคนเดียว leave your personal things behind ไม่ชอบใครไม่จำเป็นต้องแรง เฟี้ยส แก้แค้น วันนึงคุณอาจจะเจอกับเขาอีก The world is too small.
• อย่ามองว่า แรง = ตรง, สุภาพ = ตอแหล ในโลกความเป็นจริง communication skill สำคัญ
555
• มารยาทสากล ควรมี ไม่ว่าคุณจะไปอยู่ที่ไหนในโลก ล้วนแต่มีคนต้องการและยังทำเรื่องพวกนี้ เช่น ไม่ควรถามเรื่องส่วนตัวหากไม่สนิท คิดก่อนพูดหรือทำ ถ้าไม่รู้ควรศึกษา
• เลือกที่จะเก็บ คนรัก เพื่อน คนรอบข้างที่ดี อะไรที่ toxic ทิ้งไปไกลๆ ไม่จำเป็นต้องเก็บไว้ยังไงเขาก็ไม่ได้มองว่าคุณดี
556
ประเทศที่เวลาตรวจสอบอะไร ทำไรผิด ไม่เคยยอมรับ = ไม่พัฒนา
คนนอกเขาจะด่า/ดูถูก ก็ไม่แปลกใจหรอก กระฉ่อนมากเรื่องแย่ๆ แต่ละอย่าง คนที่ทำให้คนไทยดูแย่ คือ ระบบพวกนี้ คนแย่ทำให้เหม็นไปหมด ไปไหนมาไหนเหมือนมี label ติดตัว
เวลาแตะเรื่องนี้ คนชอบบอก stereotype แต่ช่วยดูส่วนรวมหน่อยเถอะ
557
เคยคุยกับเพื่อนหลายๆ คน หลักๆ ที่เขากังวลคือเรื่อง:
• DNA ในที่นี้คือกลัวเรื่องพัฒนาการต่างๆ ลักษณะนิสัย บุคลิก โรคประจำตัว (mental&physical) ในกรณีที่เขาไม่รู้ว่าพ่อแม่เด็กเป็นยังไง
• ค.ผูกพันพิเศษที่ไม่ได้ทีมาจากการตั้งครรภ์
• กลัวเด็กมีปม หน้าไม่เหมือนพ่อแม่
• เอกสาร twitter.com/thelastdayofju…
558
อย่างฝรั่งส่วนใหญ่เวลาเขา adopt มา เขารักและเลี้ยงเหมือนลูกนะ
แต่บางทีมันก็จะมีมุมที่ถ้าวันนึงเขามีลูกหรือหลาน (ที่มาจากตัวเองหรือคนในครอบครัว) มันจะเริ่มเกิดการเปรียบเทียบ แล้วเด็กที่โตมาจากการ adoption อาจจะถูก bully หรือรู้สึกระแวงกับสมาชิกในบ้านคนอื่นๆ ต้องระวังมากกว่าปกติ
559
แล้วเด็กหลายคนมี background ที่ไม่ดีอยู่แล้วในที่นี้คือรู้ตัวว่า “ถูกทิ้ง” บางคนคิดแยกออกไปว่า พ่อแม่จน?เลยให้คนรวย ยิ่งรู้สึกแย่เหมือนโดนถูกขาย
การที่ได้รับรู้ว่ามีพ่อแม่คนที่ 2 มันก็ยังไม่ได้เติมเต็มเขา 100% ว่าพ่อแม่จริงๆ เป็นยังไง ทำไมถึงทิ้งเขาแล้วเขาหาคำตอบไม่ได้ตอนโต
560
บางครั้งรับข้อมูลอะไรมากเกินไปก็เป็นผลเสียนะ สมองไม่ได้ถูกสร้างมาให้ประมวลผลได้เยอะขนาดนั้น
จะกลายเป็นความคิดในหัวยุ่งเหยิงเกินไปจน “ยากในการจัดระเบียบ (prioritize)” อาจทำให้มีผลกับ “การพูด” หรือ พูดไม่รู้เรื่อง จัดเรียงไม่ถูก จนกลายเป็น “พ่นไม่หยุด” ไม่มีแก่นที่ต้องการสื่อ
561
ปกติสมองคนเราต้องใช้เวลาในการเรียบเรียง summarize เพื่อให้เกิดการตระหนัก+เข้าใจสาร
แล้วเวลาที่ดันทีแต่ข้อมูล unnecessary เข้ามาในหัว (อาทิ เสียงบ่นคนอื่น, negativity, ข้อมูลที่ไม่ได้เกี่ยวกับตัวเรา)
ยิ่งทำให้สมองทำงานหนัก ร่างกายรู้สึกเหนื่อย/หนัก/emotional มากขึ้น
#ระวัง
562
ที่น่าเศร้า คือ “น้ำสะอาด” เป็นหนึ่งในปัจจัยพื้นฐานของความต้องการของมนุษย์ที่รัฐบาลไทยไม่เคยทำให้กินได้แบบปลอดภัยและทั่วถึงทั้งประเทศ จนต้องมาเป็น 1 ในภาระค่าใช้จ่ายในหลายๆ ครัวเรือน
ทั้งๆ ที่รู้ว่า “เอกชน” ต้องมาทำเงินจากปัญหาตรงนี้ก็ยอมปล่อยจนมีสัดส่วนการแข่งขันทางการตลาดสูง twitter.com/Eig_Banphot/st…
563
564
เวลาจะเลี้ยงเด็กสักคน ไม่ว่าจะคลอดเองหรือรับเลี้ยง “เป็นเรื่องละเอียดอ่อน” แล้วเด็กไม่ได้อยู่แค่กับสังคมพ่อแม่ ต้องเผชิญสังคมภายนอก ญาติพี่น้อง โรงเรียน คนอื่นๆ
ช่วงเติบโตเป็น unpredictable future = risk ที่คนเป็นพ่อแม่ต้องรับได้
จะคิดแค่มุมเดียวว่าก็แค่เลี้ยงๆ ไปมันไม่ได้
565
เมื่อวานงอนแฟน
❌ ง้อ
✅ แฟนถาม What’s the solution?
ที่งอนแค่เพราะเขาเล่นมุกที่เราไม่ขำแต่ก็บอกตรงๆ ว่าไม่ชอบ ตึงไม่คุยไปวัน เขาส่งมาบอกรักปกติ พอกลับบ้านนอนตื่นนึง เลยคุยว่าทำไมไม่ชอบแค่นั้น
ละนั่ง drink ต่อละแฟนบอกว่า “เธอคือคนเดียวที่ชั้นรักมาตลอด it’s a fact.”
หายโกรธ
566
สำหรับเราหนังสือประเภท How to ไม่ใช่หนังสือที่ให้เราทำตาม
แต่เป็นหนังสือให้เราอ่านแล้วได้มุมมองใหม่ๆ อย่างอื่น แล้วเอามาพิจารณา ปรับตามที่เหมาะกับตัวเอง
ทริค 100% ของหนังสือ เราอาจจะดึงมาใช้ได้แค่ 1% ก็ได้ ไม่มีถูกผิด ข้อดีที่ได้ คือ เราเปิดทัศนคติให้กว้างขึ้น
567
แฟนเห็นว่าเมื่อวานเราเสียหุ้นไป 2 แสนกว่า สิ่งที่พี่แกบอก “ชั้นภูมิใจในตัวเธอ” 5555 (นี่อุทาน ห้ะ?!)
เขาบอกที่ภูมิใจ คือ เรารับมือกับความผิดหวังได้ (ละนั่งยิ้มใหญ่ ทำไรพลาดพี่แกไม่เคยว่าจริง)
ละนี่เดี๋ยวนี้ก็นั่งหัวเราะกับความพลาดของตัวเอง ไม่ได้หงุดหงิดแบบแต่ก่อน เริ่มใหม่ได้
568
น่าสนใจดี ปกติออกกำลังกายที่เขาแนะนำว่าดีที่สุดคือ 4-5 ครั้ง/W
แต่มีทีมวิจัยบอกว่าสำหรับคนไม่มีเวลา ให้ลองทำกิจกรรมที่ต้องใช้แรงหนัก ๆ 3 นาที 3 ครั้ง/วัน ก็สามารถลดความเสี่ยงโรคมะเร็ง/โรคหัวใจได้ 40%
nationalgeographic.com/magazine/artic…
569
ครู ตำรวจ ทหาร หมอ ไม่ว่าใครทำผิด ไม่ควรได้รับการปกป้อง เพียงเพราะมีอาชีพพวกนี้เป็นตัวตั้งว่าเป็นอาชีพ “เสียสละ”
ทุกอาชีพมีค่า “เท่ากัน” หมด ไม่มีใครทำหน้าที่แทนใครได้ มันเลยมีค่าเท่ากัน แตกต่างกันแค่ฐานเงินเดือนและทักษะ แต่ “ค่า” ความเป็นมนุษย์เท่ากันหมด ไม่ใช่ว่าจะดีไปกว่าใคร
570
ถ้าผญจะรักกันเอง อยากเท่าเทียม มันก็เรื่องปกตินะ
ถ้าเป็นผช.แล้วไม่ได้รู้สึกว่าต้องเสียอะไร ทำไมต้องพยายามขัดขวาง หรือ กลัวเสียผลประโยชน์?
เวลาบอกว่า ‘มันเป็นกฏธรรมชาติ’ เราว่ายังเรียน Biology ไม่แตก
1. ธรรมชาติไม่มีกฏตายตัวแต่เป็นเรื่องของการปรับตัวและเปลี่ยนแปลงตามเวลา
571
นี่เคยทวิตเรื่อง feel hurt , feel neglected by ความน้อยใจ = ค.รู้สึกเจ็บปวดจากก.ถูกละเลย
วิธีแก้
• การสื่อสาร
เพราะแต่ละคนมีค.ต้องการในปริมาณค.สนใจต่างกัน ควรสื่อสารตรงๆ (น้ำเสียงดีๆ ) อย่าเอาไปพูดลอยๆ
• ยอมรับความจริงว่าไม่มีใครสนใจเราได้ตลอดเวลา
• จัดการ ครส. ตัวเองก่อน
572
อย่างการเล่นทวิตแล้วบ่นไม่เป็นไร แต่ถ้าบ่นเพราะอยากให้คนนั้นคนนี้รู้สึกเจ็บปวด อยากแซะใครมากๆ (โดยทีมีเจตนาอยากให้คนอื่นรู้) = กำลังเผยค.อ่อนแอ+ค.เจ็บปวดตัวเอง บวกโยนค.รู้สึกให้คนอื่นรับผิดชอบ
เกิดเป็นผลเสียกับตัวเองมากกว่า พูดง่ายๆ คือ “การทำร้ายตัวเอง” ทางอ้อม +
573
**ซึ่งจริงๆ แล้วการยอมรับอารมณ์ทางลบทำให้เราเห็นปัญหามากขึ้น ทำให้เกิด process ว่าเราจะทำไงต่อ เพราะฉะนั้นการที่ยอมรับค.ผิดพลาดตัวเองได้ ไม่มองว่าตัวเอง perfectionist ตลอดเวลา จะช่วยให้เราพัฒนาอารมณ์ได้ดีขึ้น ปล่อยวางได้ง่ายขึ้น
และถ้าเราไม่ยอมรับตัวเอง = ไม่เข้าใจตัวเอง+คนอื่น
574
มารยาทสากล คำถามที่ไม่ควรถามคนอื่นเวลาทำงาน
• How much do you earn?
• What do you think of that person?
• Are you seeing anyone?
• When/What did you graduate?
• Are you on Social Media?
เราก็ไม่เคยถามคนอื่นเพราะมันเป็นเรื่องส่วนตัว ทำงานต้องแยกแยะคำว่า “ร่วมงาน” ให้ออก
575
เราที่ทาสกินแคร์ให้แฟนเวลาอยู่ด้วยกัน คือ แบบนี้จริง เพราะเขาไม่มีความรู้เรื่องสกินแคร์ บวกกับเราคอยนวดหน้ากับขมับให้ด้วย เปิดเพลง meditation ได้ผ่อนคลาย (จะทำก่อนนอน)
ถัดจากนั้นไม่นาน เขาก็เริ่มสนใจ Skincare มากขึ้น จนตอนนี้เข้าวงการตามแต่ยังไม่เยอะมาก