อีกหนึ่งโรคที่เกี่ยวข้องกับแวมไพร์คือ พอร์ไฟเรีย (Porphyria) หรือโรคผีดูดเลือดค่ะ เป็นโรึความผิดปกติทางพันธุกรรม ซึ่งคนเป็นโรคนี้จะแพ้แสง และจะทำให้ฟันมีรูปร่างคล้ายเขี้ยวมากกว่าทั่วไป ที่สำคัญ มีความเชื่อที่ว่าวิธีการรักษาโรคนี้คือการดื่มเลือดด้วยนะคะ (10)
คนที่รวบรวมอาการเหล่านี้มา ประกอบกันและเขียนออกมาเป็นนิยายคือ Bram Stocker ค่ะ แม้จะไม่ใช่คนแรกที่เขียนเกี่ยวกับแวมไพร์ แต่ในนิยายของเขาระบุกฎเกี่ยวกับการเป็นแวมไพร์เอาไว้ ซึ่งกฎเหล่านั้นส่งผลให้ภาพจำของแวมไพร์เป็นอย่างทุกวันนี้ จากนั้นแวมไพร์ก็ถูกตีความมาเรื่อยๆนั่นเองค่ะ (11)
เย้ อยากเขียนมานานแล้ว ได้ฤกษ์เขียนซะทีค่ะ 🙌🏻 ว่าแต่ มีใครสนใจเรื่องของแดรคคูล่า และความต่างระหว่างแวมไพร์กับแดรคคูล่าไหมคะ? เอาไว้เธรดหน้าจะมาเล่าให้อ่านนะคะ 😉 ขอบคุณมากๆเลยที่แวะมาอ่าน เจอกันเธรดหน้าค่ะ 🤍
เจอเงือกภาพนี้มาแล้วรู้สึกว่าเหมือนโนริในชีวิตจริงมากไม่ไหว ฮือ ยัยเงือกตัวแสบ 💙
พาเหรดฮาโลวีนที่เมจิค คิงด้อม (ดิสนีย์เวิร์ล) คือสุดมาก ชอบการเต้นนี้มากเลย ทั้งท่าเต้นทั้งคอสตูมคือฮาโลวีนสุด อินเนอร์คนเต้นอีก 😭🤍
การแต่งตัวของผู้หญิงชนชั้นกลาง-สูงในราวๆปี 1896 ล่ะ นี่เป็นชุดช่วงเช้านะคะ ชุดช่วงบ่ายกับช่วงเย็นก็จะเป็นอีกแบบ ช่วงหลังยุควิคตอเรียนเป็นยุคที่การแต่งตัวของผู้ชายเริ่มมีอิทธิพล ดูได้จากการใส่เชิ้ต ส่วนคอร์เซ็ตจะดันให้อกแอ่นและท้ายงอน เหมือนรูปตัวเอส
เป็นยุคที่ผู้หญิงเริ่มต้องการการแต่งตัวที่เป็นกฎเป็นเกณฑ์น้อยลง และผู้หญิงเริ่มมีความคิดเป็นอิสระ พวกเธอเริ่มออกกำลังกาย เล่นกีฬา เรียนมหาลัย เข้าทำงาน ฯลฯ จริงๆช่วงนี้เป็นช่วงที่ชุดพร้อมใส่เริ่มมีบทบาทแล้วนะ
ไว้วันหลังมาเล่าเป็นเธรดยาวๆค่ะ อันนี้ไปเจอคลิปน่าสนใจมาพอดีเลยแวะเอามาเล่าคร่าวๆเนอะ เธรดสุดท้ายนี้ ฝากภาพชุดยามเย็นสวยๆของสาวๆยุคนั้นให้ดูกันค่ะ 🤍
เออตอนเด็กๆชั้นกลัวซีนนี้จริงนะ มันหลอนๆทั้งหน้าสโนว์ไวท์ ทั้งซาวด์ ละก็บรรยากาศในป่าด้วย เห็นว่าเรื่องนี้เป็นอนิเมชั่นเรื่องแรกๆเลยที่ลองทำการ์ตูนออกมาให้มีความน่ากลัว แต่ชอบท่าทางยัยสโนว์ไวท์ ถึงจะกลัวแต่จริตจก้านเจ้าหญิงก็ยังไม่ทิ้งลาย55555
อีกซีน ซีนนี้ก็น่ากัวววว
เคยสงสัยมั้ยทุกคนว่าปราสาทใต้ทะเลของแอเรียล แต่ละห้องมีอะไร เป็นยังไงบ้าง 🧜🏻‍♀️ วันนี้เอารูปแผนผังแต่ละห้องในปราสาทมาฝาก ในเธรดจะแนะนำห้องสำคัญๆให้อ่านกัน ที่น่าสนใจคือห้องครัวอะ ในที่สุดก็ได้รู้แล้วว่าชาวเงือกกินอะไรกัน5555555
ห้องแต่งตัวของสาวๆเงือกทั้งเจ็ดคน ลักษณะเด่นคือกระจกกับพืชพรรณสำหรับดูแลผิว นอกจากเวลาเล่นคอนเสิร์ต ก็เป็นคล้ายๆห้องที่สาวๆเอาไว้พูดคุยกัน เหมือนห้องนั่งเล่นนั่นแหละ
นี่คือห้องครัวในวัง สรุปก็คือชาวเงือกในเวิร์สแอเรียลกินสมุนไพรทะเลกับเครื่องเทศเป็นหลัก!! พวกพืชจะถูกเก็บไว้ในหม้อพิเศษและวางไว้บนชั้น ซึ่งพวกพืชพวกนี้ก็เอามาจากสวนในวัง (คือปลูกเองกินเอง) ฟันแฟคคือเงือกหัวหน้าคนครัวจะใส่ผ้าพันคอสาหร่ายด้วย เป็นเครื่องแต่งกายประจำตำแหน่ง 🤣
ห้องดนตรีสำคัญมาก เพราะบ้านนี้เขาชอบจัดคอนเสิร์ตและชอบการร้องเพลง ห้องนี้อยู่กลางปราสาทเลย ตรงกลางห้องจะเป็นออร์แกนทะเลขนาดใหญ่ ในห้องก็มีเครื่องดนตรีอื่นๆ ซึ่งทุกอย่างทำมาจากเปลือกหอย ปะการัง และหิน
ห้องนอนของสาวๆ ก็คือนอนกันในเตียงเปลือกหอยล่ะ ความพีคคือหมอนกับเตียงนี่ทำมาจาก sea silk ด้วยนะ (ผ้าไหมทะเลก็มา เป็นยังไงนะอยากรู้!) รอบๆห้องจะมีดอกไม้ตกแต่งและส่งกลิ่นหอม ส่วนตรงประตูจะมีสาหร่ายเขียว ที่แต่งห้องด้วยสีม่วงกับน้ำเงินเป็นหลักเพราะเชื่อว่าทำให้ผ่อนคลายที่สุด
ห้องนี้ไม่พูดถึงไม่ได้! คอนเสิร์ตฮอลประจำวัง การมาฟังเพลงในวังถือเป็นกิจกรรมอย่างนึงที่ชาวเงือกชอบ แน่นอนว่าคิงไตรตันได้ที่นั่งดีที่สุดเสมอ ส่วนเปลือกหอยที่ปิดไว้ก็คือเหมือนในการ์ตูนเลย สาวๆเงือกจะโผล่ออกมาจากในนั้น
เอามาจากเล่มนี้เลยย เล่มโปรดของเราเองค่ะ 🥺🤍 หายากมากกว่าจะได้มาครอบครอง มีของเจ้าหญิงทุกคนเลย ใครอยากอ่านอยากเห็นปราสาทของเจ้าหญิงคนไหน บอกกันมาได้เลยนะคะ จะนำมาเล่าให้อ่านอีกเยอะๆเลยยย
อ่านคู่มือแฟรี่แล้วเจอเรื่องของประตูแฟรี่ที่เมือง Ann Arbor 🧚🏻‍♀️ อยู่ๆก็มีประตูจิ๋วปรากฎอยู่รอบเมือง เชื่อกันว่าเป็นฝีมือของนักวาดภาพหนังสือนิทานคนนึง ที่ตั้งใจทำเพื่อเตือนให้ทุกคนรู้ว่าแฟรี่อยู่รอบตัวเรา และเป็นช่องทางให้ชาวแฟรี่เข้าถึงแกลอรี่ศิลปะ ร้านเสื้อผ้า ฯลฯ ของมนุษย์ด้วย🤍
ป้ายนี้น่ารักแม่กกก ห้ามให้อาหารพวกแฟรี่นะ ไม่งั้นพวกเค้าจะขี้เกียจจนเคยตัวและหยุดหาอาหารเอง ที่สำคัญ พวกมดก็อาจจะมาแย่งกินไปหมด! เพราะมีประตูพวกนี้รอบเมือง เด็กๆก็ชอบเอาของจิ๋วไปวางไว้หน้าประตูให้กับพวกแฟรี่ล่ะ 🌻
เอาทะเลมาฝากค่ะ ขอให้วันนี้เป็นวันที่ดีนะคะ ♡
เธรดนี้อยากเล่าเรื่องของปีที่นักประวัติศาสตร์หลายคนลงความเห็นว่าเป็นปีที่ ‘แย่ที่สุด’ ในประวัติศาสตร์มนุษย์: นั่นคือปี 536 ค่ะ ทำไมถึงแย่ที่สุด? เพราะมีการเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติเกิดขึ้นที่ส่งผลกับแทบจะทุกอารยธรรมรอบโลก และนี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นตามมาค่ะ มาอ่านกันว่าแย่ขนาดไหน (1)
มีหมอกเมฆหนาทึบเกิดขึ้นโดยทั่ว คนในสมัยนั้นอธิบายลักษณะของหมอกและสภาพท้องฟ้าคือ ราวกับเกิดสุริยุปราคาตลอดเวลา ท้องฟ้ามืด จะสว่างอยู่เพียงสามชั่วโมงเศษๆในเวลาเช้าเท่านั้น ซึ่งจริงๆแล้วหมอกเหล่านั้นมาจากภูเขาไฟระเบิด ส่งผลให้เถ้าลอยคลุ้งไปทั่วโลกค่ะ (2)
อย่างที่บอกว่ามันมืดมากๆ ซึ่งพอมืด ทุกอย่างก็พินาศ เพราะเพาะปลูกไม่ขึ้นเลย อุณหภูมิโลกลดลงประมาณ 1.6-2.5 องศา ทำให้อารยธรรมต่างๆรอบโลกลำบากกับการผลิตอาหารเพื่อการอยู่รอด ซึ่งความขาดแคลนนี้กระจายตัวจากยุโรปไปถึงเอเชีย รวมกับภูเขาไฟระเบิด ยิ่งทำให้อากาศแย่ลง (3)
ที่ประเทศจีนช่วงปี 536 มีปรากฎการณ์เถ้าสีเหลืองประหลาดร่วงลงมาจากฟ้า ซึ่งไม่มีบันทึกว่าคืออะไร แต่สามารถกอบกำได้เต็มมือ ถัดมาก็ยังมีหิมะตกในฤดูร้อน ซึ่งทำให้เพาะปลูกไม่ขึ้น และประชาชนล้มตายเพราะอดอยากถึง 70-80% เหตุการณ์คล้ายกันเกิดขึ้นในเมโสโปเตเมีย บันทึกว่า ‘หนาวจนนกตาย’ (4)
ที่แถบสแกนดิเนเวีย เมืองและหมู่บ้านในสวีเดนถูกทิ้งร้าง ผู้คนอพยพไปหมด ยังฟันธงเหตุผลแน่ชัดไม่ได้ แต่เชื่อว่าหมอกปริศนาและความอดอยากน่าจะมีส่วน รวมถึงเหตุการณ์ไฟไหม้ครั้งใหญ่ แถมโยงไปถึงตำนานนอร์สที่ว่าถึงฤดูหนาว 3 ปีก่อนเกิดแรคนาร็อค เชื่อว่าเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในครั้งนี้ (5)