ภาพ “In the Conservatory” โดย Éduoard Manet นี้ ปรากฎสู่สาธารณะที่เบอร์ลินในปี 1878 ซึ่งมันกลายเป็นภาพที่หลายคนนิยามมันว่าออกจะฉาว อีโรติค ผิดศีลธรรม ที่ขนาดจักพรรดินีแห่งปรัสเซลเห็นยังหน้าแดง ทำไมกันล่ะ?
เพิ่งเคยเห็นโฆษณาดิสนีย์แลนด์ที่ญี่ปุ่น ทำเป็นอนิเมชั่นด้วย น่ารักมากๆๆ เล่าเรื่องราวของเด็กสาวคนนึงที่มีดิสนีย์แลนด์อยู่ในทุกช่วงชีวิต เมดมายเดย์มากเลย 🥺🤍
เจอภาพตอนที่ตัวเองไปเรียนที่อังกฤษเมื่อห้าปีก่อน ที่นี่คือ Blenheim Palace ล่ะ เป็นโลเคชั่นถ่ายทำซินเดอเรล่าภาคคนแสดงด้วยนะ ซีนที่เป็นปราสาทน่ะ พอรู้ปุ๊ปรีบบึ่งไปเลย 🥺 และเป็นมรดกโลกด้วย ของจริงสวยอลังการมากกกกก
ถึงแม้พระนางมารี อ็องตัวเนตต์จะไม่เคยพูดว่า ‘Let them eat cake’ แต่ความจริงก็คือ ‘อาหาร’ ที่คนในวังแวร์ซายกิน สะท้อนความเหลื่อมล้ำในสังคมได้เป็นอย่างดี เธรดนี้จะมาเล่าให้อ่านค่ะว่าในขณะที่ประชาชนอดอยากหิวโหยก่อนปฏิวัติฝรั่งเศส คนในวังรับประทานอะไรกันบ้าง จะหรูหรา/แปลกแค่ไหน (1)
พระนางมารีโปรดปรานช็อคโกแลทมากๆ ถึงขั้นที่ว่าหนึ่งในผู้ติดตามที่มาจากเวียนนามีเชฟช็อคโกแลทส่วนตัวด้วย! เมนูโปรดของพระนางคือช็อคโกแลทร้อนใส่ ‘ส้ม’ ค่ะ และความชอบนี้ของพระนางก็ตั้งต้นให้ช็อคโกแลทกลายเป็นขนมสำหรับคนมีเงินเท่านั้นไป (2)
ทุกคนในวังอยู่ดีกินดีกันหมดค่ะ เมนูที่แสดงถึงความร่ำรวยก็อย่างเช่น เห็ดทรัฟเฟิล (ก่อนหน้านี้ทรัฟเฟิลถือเป็นอาหารชาวบ้านเพราะมาจากดิน คนมีฐานะจะไม่กินกัน) และ หอยนางรมกับอาหารทะเล ซึ่งบรรดาอาหารทะเลนี้ในสมัยนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะมีวางไว้บนโต๊ะ (3)
พ่อค้าปลาถึงขั้นมีการพัฒนาระบบที่จะอำนวยให้อาหารทะเลส่งถึงตลาดสดในปารีสทันเวลาเช้ามืด เพื่อที่พวกคนรวยได้กินกันตอนบ่าย อาหารทะเลสำคัญมากนะคะ เป็นการโชว์หน้าโชว์ตา ถึงขั้นเคยมีเชฟคนนึง (François Vatel) ใช้มีดแทงตัวเองเสียชีวิตเนื่องจากอาหารทะเลมาส่งไม่ทันเวลา (4)
ฝรั่งเศสในช่วงศ.ที่ 18 มีการทำคู่มือทำอาหารวางขายบ้างแล้ว แต่รายละเอียดจะไม่ค่อยชัดเจน ไม่มีหน่วยวัดแน่นอน แต่นี่แหละคือช่องทางที่เชื่อว่าจะ ‘ดึงความคิดสร้างสรรค์’ จากตัวเชฟออกมาได้ หนึ่งในตัวอย่างความสร้างสรรค์คือเมนู ไก่อบในกระเพาะปัสสาวะแกะ (?) เรียกว่า chicken in bagpipes (5)
นี่คือมาดาม Pompadour หนึ่งในภรรยาของหลุยส์ที่ 15 ค่ะ มีอำนาจในราชสำนักระดับนึงเลย มักจะให้เชฟส่วนตัวทำอาหารแปลกๆให้ จานที่เลื่องลือคือ ‘ท้องนกริมแม่น้ำราดซอสกระเทียมทราย’ ซึ่งนี่แหละค่ะพวกอีลีท เขาไม่ได้อยากได้อาหารอร่อย แต่อยากได้เมนูแปลกที่ใครเห็นก็ต้องช็อค ยิ่งแปลกยิ่งดี (6)
วังแวร์ซายนำเข้าไวน์หลากชนิด แต่ที่นิยมที่สุดคือ ‘แชมเปญ’ ค่ะ เป็นผลพวงมาจาก Dom Pérignon (นักบวชในศ.ที่ 17) พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 เลิฟแชมเปญม้ากมาก ส่งผลให้คนในวังเลิฟตามไปด้วย มีทฤษฎีสมคบคิดว่าหลุยส์กับพระนางมารีมักชนแก้วกันในวันปีใหม่ ทำให้ประเพณีชนแชมเปญในวันปีใหม่เกิดขึ้น (7)
อย่างที่เคยเล่าไว้ว่าสมัยนั้นแหล่งน้ำที่คนใช้อุปโภคบริโภคยังคงสกปรกอยู่ แน่นอนว่ามันทำให้พระนางมารีเรื่องมากมากๆๆเมื่อเกี่ยวข้องกับเรื่องน้ำดื่ม น้ำเดียวที่นางดื่มแล้วไม่ป่วยคือน้ำจาก Ville d'Avray ใกล้วังค่ะ นี่เป็นอีกหนึ่งความเหลื่อมล้ำที่ชัดเจน ในขณะที่คนภายนอกไม่มีทางเลือก(8)
เจ้าขนมหน้าตาแบบนี้เรียกว่า Brioche (บริออช) เป็นที่นิยมอย่างมากค่ะ ประวัติของมันมีมายาวนาน แต่เวอร์ชั่นที่เนื้อเนียน ชุ่มฉ่ำ เพิ่งจะเริ่มมีในศ.ที่ 18 มันแสดงความเหลื่อมล้ำได้ดี เพราะพวกผู้ดีมีเงินพอที่จะซื้อเนยและแป้งมากมายเพื่อให้บริออชมีคุณภาพ แต่คนยากจนไม่แม้แต่จะได้กิน (9)
คร็อกเกต์ (croquette) ที่หลายคนเคยทานกัน ต้นกำเนิดก็มาจากฝรั่งเศสนะคะ! มีหลากหลายเวอร์ชั่นรอบโลก แต่เวอร์ชั่นฝรั่งเศสนี้มาจากเชฟ François Massialot แห่งแวร์ซายค่ะ มีสูตรที่เขาคิดค้นขึ้นในหนังสือทำอาหารด้วย ไส้ในจะใส่รากูต์, ครีมชีสและทรัฟเฟิลค่ะ (10)
เค้ก mille-feuille แบบในภาพขวา (เค้กเป็นเลเยอร์สอดไส้ด้วยครีม) ถูกคิดค้นขึ้นในศ.ที่ 18 เช่นกัน ต้องบอกว่าพวกเค้กที่มีหลายเลเยอร์ทั้งหลายมาจากยุคนี้กันเยอะมากเลยค่ะ (เพราะพวกอีลีทรักในความเว่อร์แหละนะ) แต่อย่างเค้ก mille-feuille ในยุคนั้น เขาจะใช้แยมแทนครีมค่ะ (12)
เมอแรง (Meringue) เป็นอีกหนึ่งขนมที่ลือกันว่าพระนางมารีตกหลุมรักค่ะ ซึ่งในปัจจุบันยังหาต้นกำเนิดของเมอแรงไม่ได้เลย (เรากำลังหาอ่านอยู่ ไว้จะมาเล่าให้อ่านถ้ามีโอกาสนะคะ) บางคนเชื่อว่ามันมากับควีน Marie Leczinska แห่งหลุยส์ที่ 15 ซึ่งพระนางมาจากโปแลนด์ค่ะ (13)
โชว์ปราสททที่ดิสนีย์เวิร์ล อลังการล้านแปดมากๆๆๆ อมก สวยเหมือนไม่ใช่ของจริงเลย ㅜㅡㅜ
น้องๆเป็ดกระโดดต๋อมลงสระน้ำตามแม่เป็ดเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ยูนิเวอร์แซลสตูดิโอ 🥺 น่ารักมากกกก เค้าบอกว่ากว่าน้องตัวแรกจะกล้ากระโดดก็อยู่พักใหญ่ หลังจากนั้นก็โดดตามๆกัน มีแม่เป็ดคอยให้กำลังใจ แสงกำลังสวย พื้นหลังเป็นรถไฟเหาะด้วย เมดมายเดย์ประจำวันนี้ค่ะ 🤍
Quinta da Regaleria ที่โปรตุเกสล่ะ เป็นแหล่งมรดกโลกด้วย คือหลุดออกมาจากในนิทานเลย ดูละก็มโนว่าตัวเองเป็นเจ้าหญิงในปราสาท ในยุคที่มีมังกร เวทมนตร์ แล้วก็เงือก โอ้ย ชอบอะไรแบบนี้ที่สุด ㅠㅡㅠ
ชอบดีเทลนี้ใน Rise of the Guardians มากๆ 🥺 คือตาของแต่ละคนจะมีสะท้อนตัวตนของแต่ละคนออกมา พิทช์แบล็ค: จันทรุปราคา แซนดี้: สุริยุปราคา (ขั้วตรงข้ามกับพิทช์) แจ็คฟรอสต์: เกล็ดหิมะ บันนี่: เขียวอีสเตอร์ (ถ้าดูดีๆจะเห็นลายไข่ซิกแซกด้วย) ทูธ: สีม่วงลายวนเหมือนปีก นอร์ธ: สีฟ้าคริสมาสต์
มาเป็นเงือกกันเถอะ! 🧜🏻‍♀️ วันเกิด: สีหาง เดือนเกิด: ทะเลถิ่นที่อยู่ (ภาพบนบก) เลขท้ายเบอร์มือถือ: พลังวิเศษ ราศี: สไตล์ตอนกลายร่างเป็นมนุษย์ ได้อะไรมาเมนชั่น/โควทบอกกันได้นะคะ 🤍
เราเป็นคนเล่นก็จะรู้ว่าในโลกซิมส์มันมีแวมไพร์อยู่จริงนะ แต่ซิมส์ทั่วไปก็จะไม่รู้ใช่มะล่ะ พอเห็นว่ามีคำสั่งให้ถกเรื่องการมีอยู่ของแวมไพร์กับคนอื่นก็รู้สึกว่าสมจริงดี เหมือนในโลกความเป็นจริงที่เราคุยกันว่าแวมไพร์มีจริงมั้ย เงือกมีจริงมั้ย บางทีคนที่รู้คำตอบอาจเป็นผู้เล่นของเราก็ได้
ร้องกรี้ด เซ็ตถ้วยน้ำชาธีมอลิสน่ารักมากๆๆๆๆ ภาพบนถ้วย จาน กาน้ำชาทั้งหมดเป็นคอนเซ็ปต์อาร์ตออริจินัลของการ์ตูนด้วย 🥺🌻
เรื่องของโรคระบาดกาฬมรณะหรือ Black Death จากยุคกลางมีอะไรให้เล่าถึงอีกเยอะมาก ด้วยว่าเป็นครั้งแรกๆที่โลกได้เผชิญกับโรคร้ายที่คร่าชีวิตคนไปหลายล้าน เธรดนี้อยากหยิบประเด็นว่า โรคระบาดในครั้งนั้นได้ทิ้งอะไรไว้ให้กับโลกใบนี้บ้าง มีหลายอย่างเลยที่อาจยังไม่รู้ มาลองอ่านกันค่ะ (1)
หน้าประวัติศาสตร์อาจเปลี่ยนไปเลยก็ได้ถ้า Black Death ไม่เกิดขึ้นค่ะ นั่นเพราะชาวไวกิ้งที่ตั้งรกรากในกรีนแลนด์ (และตั้งใจจะมุ่งหน้าไปยังอเมริกาเหนือ) ถูกโรคนี้คร่าชีวิตและโดนคนพื้นเมืองโจมตีจนล้มหายตายจากไปหมดนั่นเอง (4) (ปล.ยังไม่เคยเล่าเรื่องไวกิ้งเลยสินะ? ไว้จะมาเล่าบ้างนะคะ)
‘กริม รีปเปอร์’ ในหนัง เกม วันฮาโลวีน สัญลักษณ์แห่งความตาย ก็มาจาก Black Death ค่ะ โรคระบาดนี้เปลี่ยนเทรนด์ศิลปะให้จดจ่ออยู่กับความตายมากขึ้น ความตายจึงถูกทำให้กลายเป็นสิ่งมีชีวิตในรูปแบบของกริมถือเคียว โรคระบาดนี้ยังทำให้ผู้คนรู้ว่าจะรวยหรือจน ความตายก็มาเยือนอย่างเท่าเทียม(5)