กฎหมายทรัพย์สินในปัจจุบันก็เชื่อว่ามีรากฐานมาจากยุคนั้น โดยโรคระบาดได้คร่าชีวิตคนเป็นจำนวนมาก ทำให้เป็นเรื่องยากที่จะรู้ได้ว่าใครเป็นผู้ได้รับมรดก รวมถึงทรัพย์สินที่ดินจะตกเป็นของใคร มีการฟ้องร้องต่างๆมากมายเป็นปัญหาไม่จบสิ้น กฎหมายทรัพย์สินจึงค่อยๆเกิดขึ้นในเวลาต่อๆมา (6)
โรคนี่ยังทำให้เกิดแนวความคิดต่อต้านชาวยิว (Anti-Semitism) ด้วยค่ะ มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่ชอบอะไรที่ตัวเองหาคำตอบไม่ได้ ในยุคนั้นมีความเชื่อต่างๆนานาว่าโรคมาจากไหน มีคนจำนวนไม่น้อยเชื่อว่าชาวยิวเป็นต้นเหตุค่ะ และแนวคิดนี้มีอยู่มาจนถึงสงครามโลกครั้งที่ 2 เลย ยาวนานมากๆ (7)
คำว่า Quarantine ก็มาจากยุคนี้นะเออ twitter.com/arielqueenss/s…
นักปวศ.บางคนเชื่อว่า Black Death เป็นตัวที่ทำให้ภาษาอังกฤษกลายเป็นภาษาสากลค่ะ ทำไมถึงเชื่อแบบนั้น? เพราะโรคระบาดนี้คร่าชีวิตผู้เผยแพร่ศาสนาและนักบวชมากมาย คนกลุ่มนั้นใช้ภาษาละตินเป็นหลัก และคนที่มาแทนที่คือคนธรรมดาที่ไม่พูดละติน แต่พอรู้ภาษาอังกฤษ (9)
เชื่อว่าโรคระบาดนี้ทำให้เกิดสถานะ ‘ชนชั้นกลาง’ ขึ้นเป็นครั้งแรกในอังกฤษค่ะ เมื่อก่อนจะมีแค่ชาวบ้านกับเจ้านายใช่มั้ย ซึ่งชาวบ้านมีเป็นจำนวนมากแต่ก็ล้มตายมาก ประชาชนชาวบ้านที่เหลืออยู่จึงสามารถเลือกงานได้ตามใจ แถมได้เงินดีกว่ายุคก่อนหน้าด้วย นี่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของชนชั้นกลาง (10)
โรคระบาดนี้ยังเปลี่ยนวิถีของโรงพยาบาลอีกด้วยนะคะ โดยเมื่อก่อน โรงพยาบาลจะเน้นไปที่ hospitality หรือ ความเมตตามากกว่าการแพทย์ จะเป็นที่สำหรับให้ที่พักและอาหารกับคนจนและผู้แสวงบุญ พอผ่านไปและเข้าสู่ยุคเรเนซองส์ โรงพยาบาลจึงมีความเกี่ยวข้องกับการรักษาโรคมากขึ้น (11)
โรคนี้ยังทำให้คนในยุโรปเริ่มเข้าใจคอนเซ็ปต์ของความ ‘คนเท่ากัน’ ด้วยค่ะ เพราะบรรดาเชื้อพระวงศ์และนักบวชต่างก็ติดโรคได้ไม่ต่างจากคนทั่วไป แถมคนที่ขึ้นมาแทนนักบวชก็ไม่ใช่คนดีที่วิเศษมาจากไหน ภาพพจน์ของศาสนจักรจึงยิ่งเสื่อมถอยมากขึ้นด้วย (12)
วันนี้อยากเล่าสั้นๆถึงวัฒนธรรมน่ารักๆในวันคริสมาสต์ อย่างที่เมกา เด็กๆจะมีการวางคุ้กกี้กับนมให้กับซานตาครอส 🍪🥛 (บางบ้านวางแครอทให้พวกเรนเดียร์ด้วย 🥕) รู้กันหรือเปล่าว่าต้นทางของวัฒนธรรมนี้ย้อนไปถึงตำนานนอร์ส (Norse mythology) เลยนะ
มันน่ารักตรงที่เด็กๆรอบโลกก็จะวางของให้ซานต้าต่างกันออกไปนี่แหละ ที่อังกฤษ,ออส จะเป็นพาย sherry and mince สวีเดนจะเป็นโจ๊กข้าว ไอร์แลนด์จะเป็นเบียร์ Guiness กับคุ้กกี้ ฯลฯ คือวันนั้นซานต้าคงกินจนอิ่มหนำเลยอะ ไม่แปลกใจถึงตัวปุ๊กลุ๊ก กินจนเหนื่อย55555
ดูนารูโตะถึงตอนพิเศษย้อนอดีตจิไรยะทีไร น้ำตาไหลตอนท้ายทุกที ㅜㅡㅜ คิดว่าดีจังเลยนะนารูโตะ มีคนรักเธอตั้งแต่ยังไม่เกิดเยอะแยะเลย ทั้งคุณพ่อ คุณแม่ และคุณครู 🥺
มาเป็นแฟรี่กันเถอะ! 🧚🏻‍♀️ วันเกิด: ปีก เดือนเกิด: ถิ่นที่อยู่ เลขท้ายมือถือ: เสื้อผ้า ราศี: พลังวิเศษ ใครได้อะไรมาเมนชั่น/โควทให้ดูกันด้วยนะคะ ♡
ชอบคลิปแนวนี้ๆๆๆ รวบรวมภาษาในปัจจุบันแต่เป็นเวอร์ชั่นที่คนพูดกันเมื่อหลายพันปีก่อน ภาษาเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาจริงๆ อย่างภาษาอังกฤษหรือจีนนี่แทบไม่มีเค้าโครงของปัจจุบันอยู่เลย
ช่องนี้ทำไว้หลายพาร์ทมากๆๆ ใครสนใจฟังเพิ่มเติมตามไปได้ที่ติ๊กต่อก yemenite.front นะคะ นี่ชอบฟังภาษายุคเก่ามากเลย เพลินดี ปกติก็หาฟังในยูทูปประจำ
youtu.be/1kZ-8wmDqqk youtu.be/N1oZf-OxxEY youtu.be/ExwI2ctKkjY youtu.be/4IK1Wu4qGzY (แปะคลิปยูทูป เผื่อใครสนใจไปลองฟัง)
วันนี้ส่งคลิปนี้ให้เซนเซคนญี่ปุ่นดู เซนเซชอบใหญ่เลย เป็นภาษาญี่ปุ่นโบราณแหละ บางคำก็คือส่งต่อมาจนถึงตอนนี้ บางคำไม่คุ้นเลย ยิ่งตอนพูดเป็นประโยคคือ เหมือนจะญี่ปุ่นแต่ก็ไม่ญี่ปุ่น 🤣 คลิปเต็มอยู่นี่ ใครสนใจตามไปฟังได้นะคะ น่าสนใจดีๆๆ >> youtu.be/4mWzhIcbQls
วันนี้จะมาเล่าที่มาของ ‘แวมไพร์’ ให้ได้อ่านกันค่ะ คงเคยรับรู้เรื่องราวของแวมไพร์ผ่านสื่อต่างๆกันมาบ้าง แต่รู้กันหรือเปล่าคะว่าจริงๆแล้วต้นเรื่องของแวมไพร์มาจาก ‘โรคระบาด’ ในยุคศตวรรษที่ 19 ล่ะ 🧛 เราเรียกมันว่า Vampire disease panic แวมไพร์ดั้งเดิมจะเหมือนในหนังแค่ไหนนะ? (1)
จุดเริ่มต้นคือวัณโรคค่ะ เป็นโรคระบาดที่แพร่ไปทั่วอังกฤษ และการแพทย์ยุคนั้นยังเข้าใจโรคนี้มากพอ ทำให้มันคร่าชีวิตคนอังกฤษไปถึง 2% ของจำนวนประชากรเลย ด้วยว่าไม่มีวัคซีน ผู้ป่วยจะถูกส่งไปยังรพ.ผู้ป่วยเรื้อรัง ส่วนคนที่ไม่มีเงินก็จะหันไปหาการรักษาพื้นบ้านหรือคำอธิบายเหนือธรรมชาติ(1)
ผู้คนกลัวโรคนี้ พอๆกับที่กลัวคนที่ป่วยเป็นโรคเลยค่ะ มีหมอท่านนึงเขียนอธิบายผู้ป่วยไว้ว่า: ร่างที่ซูบผอมกระตุ้นความหวาดกลัวของผู้คน หน้าผากพวกเขาเต็มไปด้วยเหงื่อ แก้มตอบสีซีดเหมือนคนตาย ดวงตาลึกโบ๋ หายใจหอบหนัก และอาการเหล่านี้ ก็ได้กลายเป็นคำอธิบาย ‘ลักษณะของแวมไพร์’ ค่ะ (2)
ลักษณะของแวมไพร์ที่ผู้คนกล่าวถึงคือผอมแห้ง เหนื่อยง่าย ไม่อยากอาหาร ‘เหมือนมีอะไรบางอย่างดึงพลังงานชีวิตของพวกเขาอยู่ตลอดเวลา’ และนี่คือจุดที่ทำให้คนเชื่อว่า แวมไพร์ต้องดูดเลือดของมนุษย์ค่ะ (3)
การระบาดของวัณโรคทำให้เกิดปรากฎการณ์ Vampire panic ค่ะ คนที่ติดเชื้อจะใช้เวลาหลายวันในการแสดงอาการ และเมื่อติดกันในครอบครัว สมาชิกคนที่ได้รับเชื้อก็จะเพิ่งแสดงอาการหลังจากคนที่ติดเชื้อเสียไป นั่นทำให้คนเชื่อว่าสมาชิกที่เสียไปเป็นคนลุกขึ้นมาจากหลุมและดูดพลังชีวิตของคนในครอบครัว(4)
สิ่งที่พวกชาวบ้านที่เชื่อว่าญาติที่เสียไปเป็นภัยทำก็คือ ไปขุดหลุมศพนำศพขึ้นมาและจัดการกับร่างนั้น ว่าว่าเป็นการ ‘กำจัดแวมไพร์อีกครั้ง’ โดยแต่ละภูมิภาคมีวิธีจัดการต่างกันไปค่ะ ที่แมสซาชูเซตและเมนน์ คนก็จะแค่พลิกศพให้นอนคว่ำและฝังใหม่ (5)
ที่บางพื้นที่ในอังกฤษ ผู้คนจะตรวจสอบ ‘หัวใจ’ ของศพว่ามีเลือดอยู่ไหม ถ้ามีล่ะก็ เป็นแวมไพร์แน่นอน วิธีคือนำหัวใจนั้นไปเผาค่ะ และสมาชิกในครอบครัวจะสูดดมควันเข้าไปเพื่อป้องกันโรค (บางครอบครัวกินเถ้าเข้าไปก็มี) ส่วนในยุโรป จะขุดศพขึ้นมาเผาบ้าง แทงทะลุหัวใจบ้าง (6)
นอกจากวัณโรค ยังมีโรค ‘พิษสุนัขบ้า’ ด้วยค่ะที่เป็นส่วนนึงในการสร้างตำนานแวมไพร์ โดยมาจากพฤติกรรมการกัดของมนุษย์และสัตว์ที่ส่งต่อโรคติดต่อนี้ ทำให้เกิดความเชื่อว่าแวมไพร์กัดใคร คนนั้นก็จะกลายเป็นแวมไพร์ ไหนจะอาการแพ้แสงแพ้กลิ่นก็เช่นกัน รวมไปถึงการมองไม่เห็นตัวเองในกระจกด้วย (7)
พฤติกรรมความคลั่งรัก (?) ของแวมไพร์ที่เราเห็นกันบ่อยๆในหนัง/หนังสือ จริงๆแล้วก็มาจากโรคพิษสุนัขบ้านี้เช่นกัน! โดยโรคนี้ส่งผลต่อสมองส่วนกลางที่ควบคุมการนอนหลับและความใคร่ค่ะ จึงทำให้เกิดโรคนอนไม่หลับ (แวมไพร์จึงออกล่ากลางคืน) และมีความต้องการทางเพศสูงนั่นเอง (8)
โรคพิษสุนัขบ้านี้สามารถพบในสัตว์ได้ด้วย ทำให้คนโยงไปถึงความสามารถของแวมไพร์ว่าสามารถเปลี่ยนร่างเป็นสัตว์ได้ค่ะ อย่างตำนานแวมไพร์ของ Bram Stoker เขียนไว้ว่าแวมไพร์เปลี่ยนร่างเป็นหมาป่าได้ บางตำนานก็ว่าเปลี่ยนเป็นสุนัขได้ (9)