ประเทศตะวันตกส่วนมากเรียกชาด้วยเสียง tea ใช่มะ แต่มีโปรตุเกสเท่านั้นที่เรียกว่าชา เพราะโปรตุเกสมีการเทรดกับชาวจีนตั้งแต่ก่อนชาวดัตช์ ซึ่งบริเวณที่โปรตุเกสค้าขายด้วยพูดจีนกวางตุ้ง และจีนกวางตุ้งเรียกว่าชานั่นเอง (3)
แม่ของเธอจะป้อนนมหวานและน้ำให้เธอทุกวัน หวังว่าจะทำให้เธอฟื้น แต่ก็ไม่มีอะไรดีขึ้น จนคนในเกาะรวมเงินกันเพื่อจ้างหมอ แต่หมอก็วินิจฉัยว่าเธออยู่ในโคม่า เพราะทดลองวิธีการปลุกต่างๆ (เช่นเอาเข็มทิ่ม) แต่เธอไม่ตอบสนองเลย มากสุดที่ทำได้คือให้ยาชูกำลัง เพื่อประคองชีวิตไม่ให้เธอตาย (4)
ที่เกียวโตใบไม้เริ่มเปลี่ยนสีแล้ว วิวจากรถไฟสวยมากกกก
เมื่อสาวๆผ่านการเปิดตัวแล้ว ทั้งโชว์ตัวต่อหน้าควีนต่างๆแล้ว เธอมักจะถูกคาดหวังให้แต่งงานภายใน 2-3 ปี ซึ่งหลังการเปิดตัว เวลาพวกเธอไปงานเลี้ยงสังคม งานเต้นรำต่างๆ คนในสังคมก็จะรู้ว่าเธอคนนี้พร้อมแต่งงานแล้ว และก็เป็นหน้าที่ของหนุ่มๆที่จะเข้ามาพูดคุยและชวนเต้นรำ (5)
ส่วนมากจะจัดกันเป็นแบบปาร์ตี้ไพรเวทค่ะ จัดโดยคนรวยจัดๆที่มีเงินมากพอจะซื้อมัมมี่มา ซึ่งการลักลอบซื้อขายมัมมี่เนี่ยก็เริ่มมีมาตั้งแต่ ศ.ที่ 15 คือจะมีพ่อค้าแอบเอามัมมี่มาขายในยุโรป (5)
สาวๆยุคนั้นจะต้องมี ‘ความสำเร็จ’ บางอย่างเพื่อที่จะได้ควรค่าเป็น ‘ที่หมายปอง’ ค่ะ ซึ่งความสำเร็จนั้นมาได้ในรูปแบบความสามารถในการร้องเพลง เล่นดนตรี เต้นรำ การพูดคุย หรือแม้แต่งานบ้าน ได้โชว์ว่าเก่งแล้วยังโชว์ฐานะทางบ้านด้วยค่ะ แปลว่าบ้านเธอมีเงินที่จะจ้างครูมาสอนสกิลต่างๆ (8)
เพราะสีชมพูอาจสื่อถึงการไม่ใส่เสื้อผ้า ทำให้ชุดชั้นในสีชมพูเริ่มมีมากขึ้นและกลายเป็นเรื่องปกติ ในค่ายกักกันของนาซี นักโทษที่ถูกกล่าวหาเรื่องรักร่วมเพศ ไบเซ็กชวล หรือทรานส์ จะถูกบังคับให้ใส่สัญลักษณ์สามเหลี่ยมสีชมพู สัญลักษณ์นี้ภายหลังกลายเป็นสัญลักษณ์ของ gay rights movement (8)
‘ทาชิคาว่า (立川流)’ เป็นสาขาหนึ่งของศาสนาพุทธนิกายชิงงน (真言宗) ถือได้ว่าเป็นคัลท์แห่งเซ็กส์หลักของญี่ปุ่น (คือมันมีหลายสาขามากจนต้องยกให้อันนี้เป็นหลักด้านนี้5555) เชื่อว่าการเยสกันคือหนทางสู่การตื่นรู้ทางจิตวิญญาณ เพราะการสอดใส่สื่อถึงการปลดปล่อยตัวเอง (5)
เงือกจะมีอาวุธในการล่าเหมือนมนุษย์สมัยก่อน? แต่คงไม่ล่าสัตว์ที่ใหญ่กว่าตัวเอง เพราะเลือกที่ออกมาอาจดึงดูดฉลามหรือสัตว์นักล่าที่อาจกินเงือกได้ นอกจากปลาเล็กแล้วอาจมี หอย กุ้ง ปู หมึก ฯลฯ และคงกินแบบซาชิมิ คือกินดิบๆเลย เพราะว่า- (13)
จูเลียคือสาวลึกลับที่เราไม่มีแม้แต่ภาพจริงๆของเธอ เธอขายเครื่องสำอางอยู่ที่ทางตอนใต้ของอิตาลี และผลิตภัณฑ์ตัวเก่งของเธอคือ Aqua Tofana ซึ่งมีส่วนผสมของสารหนูมากพอที่จะทำให้ตายได้โดยไม่ทิ้งร่องรอย เธอต้องการให้มันเป็นความลับ—และมันก็ได้ผล ไม่มีใครจับเธอได้เป็นเวลาเกือบ 50 ปี! (2)
ในช่วงปี 1500s สิ่งมีชีวิตนี้ที่ว่ากันว่าเหมือนเงือก (?) ปรากฎตัวที่เมือง Antwerp ประเทศเบลเยี่ยมค่ะ นักเดินเรือเรียกสิ่งนี้ว่า ‘Jenny Hanivers’ และขายมันให้กับนักท่องเที่ยว ซึ่งเจ้าตัวนี้โดนใช้อ้างเป็นหลักฐานถึงการมีอยู่ของเงือกอยู่หลายปีเลย แต่ก็มีความเชื่อด้านลบเช่นกัน (6)
เรื่องเริ่มขึ้นในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 1876 คาโรลินาในวัย 14 ปีหัวกระแทกในขณะที่เดินบนแผ่นน้ำแข็งบนทะเลสาบ ซึ่งอาการแรกที่เกิดคือเธอปวดฟัน คนในยุคนั้นยังมีความเชื่อโบราณอยู่ ครอบครัวเธอจึงเชื่อว่าเธอโดนคำสาปจากแม่มด เมื่ออาการปวดฟันไม่ยอมหายสักที (2)
และบางทริปก็มีการเดินทางมากกว่า 1 ไฟล์ท อาจมีการเปลี่ยนเครื่องบิน 4-5 ลำกว่าจะย้ายจากฟากหนึ่งของเมกาไปอีกฟากหนึ่ง ยิ่งเดินทางต่างประเทศยิ่งไม่ต้องพูดถึง (8)
สิ่งนึงที่เป็นสิ่งต้องห้ามในวังบัคกิ้งแฮมคือกระเทียม เพราะควีนลิซซี่ไม่ชอบกระเทียมเป็นอย่างมาก ถึงจะเป็นแค่ข่าวลือ แต่ก็ถูกยืนยันโดยเชฟในวังมาแล้ว โดยกล่าวไว้ว่าจะเสิร์ฟกระเทียมหรือหัวหอม (ที่เยอะไป) ไม่ได้ รวมถึงเนื้อที่แรร์ (ไม่ค่อยสุก) ด้วย (3)
ความจริงคือ ชั้นชอบวาเล็คมากๆๆๆ (แม่ชีจากคอนเจอริ่ง2) ถึงขั้นเคยตั้งเป็นหน้าจอมือถือ (แน่นอนว่าช่วงนั้นไม่มีใครกล้าเล่นมือถือชั้นเลย) ตามอ่านประวัติจนเจอวิธีซัมม่อนด้วย นางไม่ธรรมดานะเออ ไม่ใช่ใครก็เรียกได้ แต่นี่ก็ไม่ได้หาทำนะ55555 ไว้มาเล่าๆๆๆ
แต่นักวิชาการบางท่านเชื่อว่าการระเบิดไล่เลี่ยกันของภูเขาไฟในอเมริกาเหนือคือตัวการที่ทำให้เมฆหมอกและเถ้าถ่านปกคลุมทั่วยุโรปค่ะ (9)
ในปี 1856 นักเคมีวิทยาวัย 18 ปีนาม William Henry Perkin ค้นพบสีม่วง Mauve โดยไม่ได้ตั้งใจ และสีม่วงค้นพบใหม่นี้ก็กลายเป็นที่นิยม โดยเฉพาะหลังจากที่ควีนวิคตอเรียสวมชุดย้อมด้วยม่วง Mauve ไปงาน Royal Exhibition of 1862 และเพราะ Perkin สร้างโรงงานผลิต ทำให้ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ (9)
• The Blue Men Of The Minch คือตำนานเงือกชายจากสก็อตแลนด์ อาศัยอยู่แถวช่องแคบ และจะปรากฎโผล่พ้นน้ำแค่ครึ่งตัวบนเท่านั้น พวกเขาจะโบกมือให้นักเดินเรือเห็น และนักเดินเรือมักจะเข้าใจว่าพวกเขาคือคนที่ต้องการความช่วยเหลือ (5)
ฟันแฟคคือ ชื่อ Merida ของเธอแปลว่า ‘เกียรติยศ’ ในภาษา Gaelic (กลุ่มนึงของภาษาเซลต์) ซึ่งก็อยู่แถบสก๊อตแลนด์ซึ่งเป็นเซตติ้งของหนังด้วย บางคนคิดว่า Merida มาจากชื่อ Meredith แต่ไม่ใช่ล่ะ เพราะ Meredith จะเป็นได้แต่ชื่อผู้ชายเท่านั้นจนกระทั่งศ.ที่20 เซตติ้งของหนังเก่ากว่านั้นเยอะ twitter.com/mleanllisme_/s…
ถ้าพูดคำว่า ‘ปอมเปอี’ ขึ้นมา เราก็คงจะโยงมันเข้ากับภูเขาไฟและลาวาใช่ไหมคะ แต่ชาวปอมเปอีในสมัยนั้น ไม่รู้จักคำว่า ‘ภูเขาไฟ’ ค่ะ เพราะสมัยนั้นยังไม่มีคำที่ใช้เรียกแทนเลย คำว่าภูเขาไฟ มาจากภูเขาเอ็ทน่า (Mt. Etna) ในช่วง 1610s จากคำว่า Vulcan ซึ่งเป็นเทพโรมันแห่งไฟ (2)
Age of Consent (อายุความยินยอม) ในยุครีเจนซีนั้นต่ำมาก หญิงได้ตั้งแต่อายุ 12 ส่วนชายได้ตั้งแต่อายุ 14 แต่ถึงอย่างนั้น อายุที่สามารถแต่งงานได้โดยไม่ต้องได้รับคำอนุญาตจากผู้ปกครองคือ 21 ปีค่ะ ซึ่งมีหลายเคสที่หนีไปแต่งงานอยู่กินกันที่สก็อตแลนด์ ซึ่งกฎหมายแต่งงานไม่เหมือนอังกฤษ (4)
• การตัดสินใจที่เปลี่ยนชะตาของเรือไททานิก จริงๆมีปัจจัยหลายอย่างที่ส่งผลให้เรือจมดิ่งลงใต้ทะเล แต่หนึ่งในนั้นคือการตัดสินใจวิสุดท้ายในการเปลี่ยนตัวเจ้าหน้าที่ โดย David Blair ถูกเปลี่ยนตัวออกจากลูกเรือก่อนที่เรือจะออกเดินทางต่อ และสิ่งที่เกิดขึ้นคือ (7)
สีชมพูปรากฎอยู่ในวรรณกรรมมาตั้งแต่สมัยโบราณ ช่วง 800 ปีก่อนคริสต์ศักราชแล้วค่ะ ถัดมาในช่วงยุคกลาง สีชมพูก็ไม่ค่อยเป็นที่นิยมในแฟชั่นของหมู่คนรวยเท่าไร เขาจะนิยมสีแดงสว่างหรือแดงเลือดหมูกันมากกว่า แต่ก็ปรากฎในงานศิลปะทางศาสนา ภาพพระเยซูตอนเด็กบางครั้งก็ใส่ชุดสีชมพู (1)
คนขายหมวก แน่นอน ก็คือ mad hatter ทั้งสไตล์การแต่งตัวโทนสีส้ม ตำแหน่งในบีช (เหมือนกับที่แมดแฮทเตอร์เป็นคนจัดปาร์ตี้น้ำชา) (8)
ในยุคกลาง การสั่งวาดภาพส่วนตัวค่อนข้างหายากค่ะ ส่วนมากจะเป็นโบสถ์ที่สั่ง ทำให้ภาพวาดสมัยนั้นวนๆเวียนๆอยู่กับเด็กจากพระคัมภีร์ ซึ่งก็รวมถึงพระเยซูวัยเด็กด้วย เพราะงั้นถ้ามีรูปวาดเด็กคนอื่นๆ เด็กก็ได้รับอิทธิพลมาจากการวาดเด็กเบบี๋แบบพระเยซูนี่แหละ (2)