ทีแรกก็ไม่มีใครเชื่อ แต่เอ็ดวาร์ดได้เปิดเผยที่ซ่อนของผนึกลับ ทำให้ความจริงปรากฎ เอ็ดวาร์ดได้กลายเป็นพระเจ้าเอ็ดวาร์ดที่สี่แห่งอังกฤษ และได้มอบตำแหน่งเอิร์ลให้กับไมลส์ ทำให้เขาและครอบครัวสามารถนั่งเวลาอยู่ต่อหน้าพระพักตร์ได้ (9)
ทอม แคนตี ลูกชายคนสุดท้องของครอบครัวยากจนในลอนดอน ฝันอยากจะมีชีวิตที่ดีกว่าเดิมมาตลอดเพราะได้รับการสอนจากนักบวชประจำเมือง วันหนึ่งเขาเดินเล่นอยู่แถวประตูวัง และก็ได้พบกับเจ้าชายเอ็ดวาร์ดที่ 4 แห่งเวลส์ และด้วยความตื่นเต้นทำให้เขาเผลอเข้าใกล้เกินไป จนเกือบโดนทหารเจ้าชายกระทืบ (3)
การเอาศพออกมาจากบ้าน ต้องเอาเท้าออกก่อนหัวค่ะ เพราะเชื่อว่าถ้าเอาหัวออกก่อน คนตายอาจใช้โอกาสนี้เรียกให้หนึ่งในญาติสนิทของตัวเองตามไปโลกหน้าด้วย (16)
บันทึกจากชาวไอร์แลนด์จะถูกบันทึกโดยนักบวช ซึ่งพูดถึงความล้มเหลวในการปลูกพืช และปัญหา ‘ขาดแคลนขนมปัง’ ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ของคนในยุคนั้น (นักบวชไอริชเชื่อในการเรียนรู้ เพราะงั้นเค้าจะทำการบันทึกเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นเป็นลายลักษณ์อักษรด้วย) (6)
จริงๆก่อนหน้านี้เธอเคยถูกใช้แรงงาน 6 เดือนจากข้อหาละทิ้งเด็กและส่งผลให้เด็กตายมาแล้ว ซึ่งตอนนั้นเธอแค่รับเลี้ยง ไม่ได้ adopt หรือรับมาเป็นบุตร แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เธอหยุดค่ะ หลังจากใช้แรงงานจนครบกำหนดก็กลับมาทำฟาร์มเด็กต่อ (5)
ในตำนานทางยุโรป ก็มีเรื่องเล่าว่าแวมไพร์จะกลับมาเยี่ยมคนที่พวกเขารักครั้งเป็นคน ทำให้บริเวณนั้นมีคนตาย ลักษณะของแวมไพร์จะผิวสีแดงไม่ก็คล้ำ (ขัดกับแวมไพร์ที่เราเคยเห็นกันในหนังเลย) พลังวิเศษที่คุ้นเคยก็เช่น พละกำลังแข็งแกร่ง สามารถสะกดจิตเหยื่อได้ บ้างก็แปลงเป็นค้างคาวได้ (2)
• เรื่องของพระนางมารี อ็องตัวเนตต์ ผู้ซึ่งถูกแขวนคอในการปฏิวัติฝรั่งเศส (และไม่ได้พูดประโยค Let them eat cake) จริงๆแล้วพระนางกับครอบครัวมีโอกาสที่จะรอดด้วยนะ ทีแรกพวกเจ้าจะหนีไปในรถม้าธรรมดาที่เตรียมไว้ แต่พระนางยืนยันว่าจะขึ้นรถม้าที่หรูหรา ซึ่งช้ากว่าและเด่นกว่ามาก (9)
‘ฤดู’ ในซีรีส์ ไม่ใช่ฤดูอากาศ แต่เป็นฤดูหาคู่ค่ะ นั่นคือช่วงเดือนกุมภาถึงมิถุนา คนชั้นสูงจากทั่วอังกฤษจะเดินทางมาในเมืองเพื่อร่วมงานเลี้ยง ปาร์ตี้ ซึ่งก็เป็นการหาคู่ที่เหมาะสมให้ลูกๆของตัวเอง เราเรียกมันว่า ‘ตลาดงานแต่ง’ ค่ะ (Marriage Market ไม่มีภาษาไทย ขอคิดคำเรียกเลยละกัน) (5)
แวมไพร์จะไม่มีเงา มองไม่เห็นเงาสะท้อนในกระจก และในหลายๆทีก็มักจะถูกโยงเข้ากับปราสาทหรือพวกขุนนาง เชื่อว่าสิ่งที่กันแวมไพร์ได้คือกระเทียม เมล็ดต้นมัสตาร์ด กุหลาบป่า พืชฮอธอร์น น้ำมนตร์ ไม้กางเขน และลูกประคำ (3)
เพื่อนส่งรูปนี้มา บอกว่าเหมือนเจ้าหญิงที่กำลังจะเข้าไปทำงานในดิสนีย์แลนด์ท่ามกลางฝูงคน55555555555555
อยู่โตเกียวดิสนีย์แลนด์แล้ววว ( ˘ω˘ ) ที่แรกที่วิ่งมาคือปราสาท Beauty and the Beast เลย ได้มาเห็นกับตาแล้วน้ำตาไหล สวยมาก รู้สึกเหมือนเป็นเบลล์จริงๆเลย 🤍
ตอนนี้ตื่นเต้นกับ #SpiderManNoWayHome มากกกก คือรู้สึกว่าหนังมีอะไรอยากเล่าเยอะมาก เขาจะทำยังไงให้มันจบภายในสองชั่วโมงครึ่ง หรือมันจะเป็นหนังที่เชื่อมไปยังอีกจักรวาลกันแน่ ดูตัวอย่างหลายรอบก็เดาไม่ได้เลย หนังเข้าวันนี้กำลังจะไปดู และจะดูอีกหลายๆรอบด้วย! #มันส์ติเวิร์ส
ไม่ได้ทำเล็บมานานมาก ทำทั้งที่ก็ต้องทำแล้วกลายเป็นเงือกสิค้าบ 🧜🏻‍♀️
3) เหยื่อของแวมไพร์ ส่วนมากจะเป็นคนในครอบครัว แต่เหยื่อของแดร็คคูล่าคือศัตรูหรือคนทั่วไป 4) ที่มาของแวมไพร์คือจากตำนานนิทานเรื่องเล่า ส่วนแดร็คคูล่าเป็นตัวละครที่อ้างอิงมาจากตำนานแวมไพร์อีกทีนั่นเอง (8)
ต่อกันด้วยเรื่องของมาสคาร่า ให้ทายว่าเริ่มจากที่ไหน? ใช่แล้ว อียิปต์เจ้าเก่าเอง โดยเขาจะใช้ผงทาตาสีดำปัดขนตา เพื่อป้องกันดวงตาจากการจ้องแสงอาทิตย์นานๆ ในยุคของควีนอลิซาเบธจะนิยมเฉดสีอ่อน แต่ยุควิคตอเรียนจะนิยมเฉดสีเข้ม ส่วนผสมโฮมเมดด้วยนะ ทำจากหลากหลายทั้งเบอร์รี่จนถึงขี้เถ้า (7)
อันคือไวท์ควีน ถึงอันและมิระจะไม่ใช่พี่น้อง แต่คาร์แรคเตอร์และบทบาทของอันก็คล้ายกับไวท์ควีน นั่นคือ เธอดำรงตำแหน่งสูงในบีช มีความชอบธรรม ฉลาด เห็นอกเห็นใจ เป็นคนที่ผู้คนฝากความหวังไว้ได้ในยามมืดมิด เหมือนกับไวท์ควีน (11)
สำหรับสาวๆโดยเฉพาะที่ไม่ค่อยมีเงิน ไม่ได้มีอาชีพที่เปิดกว้างให้พวกเธอขนาดนั้น โอกาสอะไรก็มีน้อย บางคนก็ไม่มีทางเลือก (8)
ในอาณาจักรไบเซนไทน์ จักรพรรดินีให้กำเนิดบุตรใน ‘ห้องสีม่วง’ (Purple Chamber) และผู้ที่เกิดในห้องนั้นจะถูกกล่าวขานว่า ‘เกิดจากสีม่วง’ (Born to the purple) เพื่อชี้ว่าผู้นั้นเป็นเจ้าแต่กำเนิด ต่างจากเจ้าคนอื่นที่แย่งชิงหรือชนะตำแหน่งมาได้ (4)
น้องอีกคนที่มักจะถูกเข้าใจผิดว่าเป็นเงือกคือ dugong แปลจากภาษามาเลย์ได้ว่าเป็น ‘สตรีแห่งท้องทะเล’ มีหลายครั้งที่โครงกระดูก dugong และมานาทีถูกพบและเข้าใจผิดว่าเป็นเงือก เพราะมีลักษณะคล้ายกันค่ะ (5)
อีกหนึ่งเหตุผลที่ปอมเปอีเป็นที่นิยมสำหรับนักท่องเที่ยว คือ โรงโสเภณี (brothel) ค่ะ บางคนเอ่ยว่าที่นี่คือศูนย์กลางเลย ซึ่งเจ้าที่ใหญ่ที่สุดในเมืองชื่อ Lupanar อยู่กลางเมืองเลย นักโบราณคดีเชื่อว่าเป็นโรงโสเภณีเพราะภายในแบ่งเป็นห้อง มีเตียง รวมถึงมีภาพวาบหวิวและราคาด้วย (11)
เพราะเมื่อเขาไปถึงสถานที่และกำลังจะเริ่มกล่าวสปีช ก็มีมือสังหารยิงปืนคิดจะสังหารเขา แต่เพราะกระดาษปึกนั้น ทำให้วิถีกระสุนช้าลงมาก และทำให้เท็ดดี้ยังคงมีชีวิตอยู่ต่อพอที่จะลุกขึ้นมาและพูดต่อด้วย (4)
ชนชั้นทางสังคมในยุครีเจนซีเป็นสิ่งสำคัญมาก และมันกำหนดการเรียกชื่อค่ะ จะเรียกชื่อจริงของอีกฝ่ายได้ก็ต่อเมื่อเป็นสมาชิกครอบครัวหรือเพื่อนสนิทเท่านั้น เพราะงั้นถึงจะจีบกันอยู่ ก็เรียกนามสกุลและยศได้เท่านั้น (เช่นมิสเตอร์ดาร์ซี, ลอร์ดบริดเจอร์ตัน ฯลฯ) แต่งก่อนถึงจะเรียกชื่อได้นะ (5)
อีกอย่างที่น่าสนใจก็คือ พบว่าที่ปอมเปอีมีร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดด้วย วางขายกันริมถนนเลย มีเคาท์เตอร์ที่ใส่อาหารไว้ ส่วนมากจะเป็นที่นิยมกับคนที่มีฐานะยากจนที่ไม่มีที่สำหรับทำอาหารเองในอพาร์ทเมนท์ของตัวเอง (13)
แล้วแอเรียลล่ะกินอะไร? ตอบได้เลยว่าไม่กินสัตว์ทะเลชัวร์ๆ เพราะในหนังก็มีหลายซีนที่แอเรียลและผองเพื่อนรู้สึกสยองเวลาเห็นมนุษย์กินปลา/สัตว์ทะเล รวมถึงในซีรีส์แยกที่เธอพูดออกมาเลยว่าเธอไม่กินปลา แต่ที่น่าสนใจและน่ารักกว่าคือสตอรี่การเจอกันครั้งแรกของแอเรียลกับฟลาวเดอร์ (5)
บรรยากาศการไปเที่ยวทะเล ก็ชุดแบบนี้แหละ55555 แต่แค่เนื้อผ้ามันจะเบากว่าใส่สบายกว่า