ถ้าพูดคำว่า ‘ปอมเปอี’ ขึ้นมา เราก็คงจะโยงมันเข้ากับภูเขาไฟและลาวาใช่ไหมคะ แต่ชาวปอมเปอีในสมัยนั้น ไม่รู้จักคำว่า ‘ภูเขาไฟ’ ค่ะ เพราะสมัยนั้นยังไม่มีคำที่ใช้เรียกแทนเลย คำว่าภูเขาไฟ มาจากภูเขาเอ็ทน่า (Mt. Etna) ในช่วง 1610s จากคำว่า Vulcan ซึ่งเป็นเทพโรมันแห่งไฟ (2)
แอร์เองก็เช่นกัน กฎการแต่งตัวคือ dress to impress ทุกคนต้องใส่รองเท้าส้นสูง (จนกว่าเครื่องจะขึ้น) ใส่ถุงมือ หรือบางทีต้องใส่คอร์เซ็ตใต้ชุดด้วยซ้ำ! ทั้งยังมีข้อกำหนดว่าแอร์ต้องผมยาวไม่เกินเท่าไหร่ หนักไม่เกินเท่าไหร่ และควรจะเป็นสาวโสดที่พูดเก่งแต่ต้องรักษาแสตนดาร์ดไว้ด้วย (6)
แต่เจ้าชายห้ามไว้และชวนทอมเข้าไปในห้องในวังของตัวเอง ทั้งคู่ได้รู้จักกันมากขึ้น ว้าวมากกับที่หน้าเหมือนกันแถมเกิดวันเดียวกัน จึงตัดสินใจสลับตัวกันดูชั่วคราว เจ้าชายในคราบทอม ออกมาจากปราสาทสำเร็จ ได้เดินทางไปยังบ้านแคนตี ที่นั่นเขาได้พบกับพ่อขี้เหล้าของทอมที่พยายามทำร้ายเขา (4)
❗️เนื้อหาอาจโหดร้าย เกี่ยวกับการทรมาน❗️ เพื่อให้ทุกอย่างไวขึ้น เธอจึงใช้น้ำเชื่อมผสมฝิ่น ซึ่งทำให้เด็กเงียบและตายไว จนตัวเธอเองก็พลอยติดฝิ่นไปด้วย แล้วเธอก็พบว่ามันยังไม่เร็วทันใจ จึงใช้วิธีรัดคอเด็กด้วยการพันเทปรอบคอให้เสียชีวิตคาที่ (4)
อาหารบนเครื่องคือสิ่งที่ทุกคนตั้งตารอ เพราะสายการบินจะเสิร์ฟแต่ของชั้นดีเท่านั้น ในยุคนั้นมีทั้งล็อบสเตอร์ เนื้ออบ หรือซี่โครงย่าง รวมไปถึงค็อกเทลหลากชนิด และยังมีทั้งสก็อตช์ แชมเปญ บรั่นดี ซึ่งก็เป็นข้อดี (?) ของการบินเพราะผู้โดยสารที่เมามักจะเครียดเรื่องเสียงดังน้อยลง (10)
แผนที่เครือข่ายรถไฟรอบโลก
นอกจากนั้น ผู้หญิงกลั่นเบียร์ยังโดนโบสถ์คาทอลิคกล่าวหาว่าเป็นพวกยั่วยวน เพราะพอขายเบียร์ ก็จะยั่วหลอกให้ผู้ชายเมาและจ่ายเงิน ถือเป็นบาปเลยทีเดียว ในยุคกลาง มีภาพเอลไวฟ์สในนรกมากมายที่ถูกโยงกับปีศาจ (3)
ในวังมีห้องนอนสำหรับพนักงานถึง 188 ห้อง ในช่วงปี 2016 ที่ทางวังประกาศรับสมัครงานผู้ดูแลบ้าน เนื้องานระบุไว้ว่าต้องอยู่ในปราสาทตลอด 24 ชั่วโมง และไม่ได้บอกจำนวนชั่วโมงที่จะต้องทำงาน แต่มีสิทธิประโยชน์คือได้แพกเกจโทรศัพท์พิเศษ และส่วนลดสินเชื่อรถยนตร์ (10)
พอไปค้นบ้านเธอ ตำรวจก็พบหลักฐานมากมาย เช่น มีกลิ่นเน่าของเศษเนื้อ ใบรับรองการฉีดวัคซีน และเสื้อผ้าเด็ก ซึ่งก็ชี้ว่าเธอทำฟาร์มเด็กจริงๆ มีทฤษฎีสมคบคิดว่าเธอคือแจ็ค เดอะ ริปเปอร์ด้วยนะ เพราะทั้งคู่ทำการฆาตรกรรมช่วงเดียวกันในลอนดอน โดยเชื่อว่าเธอจงใจทำแท้งให้กับเหยื่อที่ตาย (7)
เทรนผิวขาวเริ่มไฮป์กันจากยุคของควีนอลิซาเบธค่ะ แต่ไม่ใช่ขาวธรรมดา มันคือขาวซีดเลย เพราะยุคนั้นปัญหาผิวหน้าเยอะมาก เป็นผลมาจากโรค เรียได้ว่าใครหน้าขาวกระจ่าง = สวยปังแล้ว จึงมีการใช้ Ceruse (ผงตะกั่วขาวผสมน้ำส้มสายชู) ทาหน้า และใช้ vermilion (จากปรอท) เพื่อให้ปากแดงแก้มแดง (3)
ถ้าคนในบ้านหลายคนเสียชีวิต หรือเสียกันทั้งบ้าน ใครก็ตามที่เข้าไปในบ้านจะต้องผูกริบบิ้นสีดำด้วย แม้แต่สุนัขหรือไก่ก็ต้องผูก เพราะเชื่อว่าจะป้องกันไม่ให้ความตายแพร่ออกไปนอกบ้าน ถ้าสัตว์เลี้ยงกลับดาว เขาก็จัดงานศพให้นะคะ โดยเฉพาะน้องหมา (14)
เรื่องของอมิเลียทำให้กฎหมายรับเลี้ยงลูกบุญธรรมที่เข้มงวดของอังกฤษได้เกิดขึ้น และทำให้อาชีพฟาร์มเด็กค่อยๆลดน้อยลง (เมื่อก่อนมันทำง่ายมากเพราะกฎหมายค่อนข้างอ่อน) บวกกับการมีสถานสงเคราะห์เด็กที่จริงจังเกิดขึ้นด้วย (8)
ต้องบอกก่อนว่าช่วง 1910s เนี่ย เป็นช่วงที่เทรนด์การแต่งตัวจากที่เคยนิยมเน้นหุ่นทรงเอส ก็เริ่มเปลี่ยนมาเป็นหุ่นเส้นตรงมากขึ้น (แต่ก็ยังไม่หมดซะทีเดียว) ที่สำคัญมากๆในยุคนี้คืออิทธิพลจาก ‘กิโมโน’ ของญี่ปุ่นค่ะ (เหมือนที่โรสใส่ในหนังบ่อยๆ) คือชุดรูปตัวที ความยาวกรอมพื้น (1)
จูเลียคือสาวลึกลับที่เราไม่มีแม้แต่ภาพจริงๆของเธอ เธอขายเครื่องสำอางอยู่ที่ทางตอนใต้ของอิตาลี และผลิตภัณฑ์ตัวเก่งของเธอคือ Aqua Tofana ซึ่งมีส่วนผสมของสารหนูมากพอที่จะทำให้ตายได้โดยไม่ทิ้งร่องรอย เธอต้องการให้มันเป็นความลับ—และมันก็ได้ผล ไม่มีใครจับเธอได้เป็นเวลาเกือบ 50 ปี! (2)
แต่เมื่อทอมได้ทำการตัดสินคดี ก็พิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าทอมปกติดี ฝ่ายเอ็ดวาร์ดได้ประสบกับความโหดร้ายและน่าอนาถของชีวิตคนยากจนในอังกฤษ และความเหลื่อมล้ำทางชนชั้น โดยเฉพาะความทารุณของบทลงโทษ ที่ทำการเผา เฆี่ยน ทรมาณ ทั้งที่หลักฐานไม่ได้เพียงพอกับการเอาผิดเลย (7)
อีกสิ่งนึงที่ต้องถูกจัดการคือกระจกค่ะ เชื่อว่ากระจกสามารถกักขังคนตายไว้ได้ และคนตายอาจพาคนเป็นไปอยู่ด้วย กระจกทุกบานในบ้านจึงต้องถูกคลุมด้วยผ้าสีดำ นอกจากนั้นยังมีรูปวาดที่ต้องถูกกลับหัวหรือคลุมผ้า และของแวววาวเช่นแจกันด้วย เพราะถือว่าของแวววาเป็นการดูถูกครอบครัวที่ไว้ทุกข์ (13)
ที่พีระมิดของฟาโรห์คูฟูที่กีซา มีเทคโนโลยีที่เอาไว้กันผู้บุกรุก นั่นคือตรงกำแพงห้องฟาโรห์จะมีช่องยาวๆ เชื่อว่าตรงนั้นในสมัยก่อนเอาไว้ทิ้งหินใส่ผู้บุกรุก แต่ศพของคูฟูก็หายไปอยู่ดี ถึงบ้างจะบอกว่าศพไม่เคยอยู่ในห้อง ไม่ก็ศพอยู่ในพีระมิดนั่นแหละแต่แค่ยังหาไม่เจอ ก็ยังเป็นปริศนา (5)
แล้วหลังจากปี 536 เกิดอะไรขึ้นต่อ? มีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้าง? ยุโรป/เอเชียฟื้นฟูตัวเองกันอย่างไร เดี๋ยวพรุ่งนี้มาต่อในเธรดนี้ให้อ่านนะคะ ค่อนข้างยาวหน่อย แต่ไม่ทำให้ผิดหวังแน่นอนค่ะ 🤍🤍
ภาษาที่ใช้พูดในประเทศจีน และแบ่งตามพื้นที่ต่างๆ
เมื่อเพื่อนอยากรู้ว่าท่าอุ้มแตงภาษาอังกฤษคืออะไร แล้วดูนังกูเกิ้ลมันแปลให้ เออขอบใจนะ เพื่อนสบายใจละคืนนี้
ซึ่งสสารสีแดงนี้ทำมาจากซินนาบาร์ (แร่เมอร์คิวรีซัลไฟด์ เป็นแร่สำคัญของปรอท) บริเวณนี้มีมันทาอยู่โดยรอบ และถ้าใครไม่รู้ เผลอจับไปก็คือซวย เชื่อว่าที่มันโดนทาไว้เพื่อใช้ตกแต่ง หรือไม่ก็ตามความเชื่อ ว่าจะช่วยนำทางในโลกหลังความตาย (3)
แต่คนที่ ‘ผม’ เยอะที่สุดในจักรวาลดิสนีย์คือพี่เอลซ่าค่ะ คุณเขามีผมถึง 400,000 เส้น!! เรนเดอร์ตาแตกเลยทีนี้ เพื่อที่จะได้ให้อนิเมชั่นออกมาสมจริงที่สุด
ในช่วงปี 1500s สิ่งมีชีวิตนี้ที่ว่ากันว่าเหมือนเงือก (?) ปรากฎตัวที่เมือง Antwerp ประเทศเบลเยี่ยมค่ะ นักเดินเรือเรียกสิ่งนี้ว่า ‘Jenny Hanivers’ และขายมันให้กับนักท่องเที่ยว ซึ่งเจ้าตัวนี้โดนใช้อ้างเป็นหลักฐานถึงการมีอยู่ของเงือกอยู่หลายปีเลย แต่ก็มีความเชื่อด้านลบเช่นกัน (6)
ห้องนี้ไม่พูดถึงไม่ได้! คอนเสิร์ตฮอลประจำวัง การมาฟังเพลงในวังถือเป็นกิจกรรมอย่างนึงที่ชาวเงือกชอบ แน่นอนว่าคิงไตรตันได้ที่นั่งดีที่สุดเสมอ ส่วนเปลือกหอยที่ปิดไว้ก็คือเหมือนในการ์ตูนเลย สาวๆเงือกจะโผล่ออกมาจากในนั้น
นอกจากแก๊ซ ควัน และความร้อนแล้ว สิ่งที่คร่าชีวิตผู้คนอีกอย่างคือเศษหินจากภูเขาที่ตกลงมาใส่ เหมือนฝนตกเลยค่ะ มีหลายคนที่เสี่ยงวิ่งหนีแก๊ซ แต่ก็ไม่รอดจากหิน (8)