แป้งสีขาวจะผสมมาจากสูตรที่ค่อนข้างท็อกซิก มีสูตรนึงผสมโลหะเข้ากับน้ำส้มสายชู (ยุโรปสมัยก่อนนิยมใช้โลหะในเครื่องสำอางจริงๆ เพราะเชื่อว่ามันทำให้ขาว) แล้วทิ้งไว้ในปุ๋ยคอกประมาณ 3 วีค โลหะจึงนิ่มลงจนสามารถบดออกมาให้เป็นผงแป้งได้ แล้วค่อยผสมกับน้ำ นำไปตากให้แห้งและผสมกับน้ำหอม (2)
ต่อมาพูดถึงรูจ (rouge) บ้าง การใช้รูจบนแก้มกับปากคือเทรนที่สำคัญมากกก ทั้งหญิงและชายจะทารูจที่แก้มเป็นกลมๆ เพราะใครที่ปากแดงแก้มแดงจะถือว่าสุขภาพดี โตมาดี แต่บางคนใช้รูจผสมกับปรอท เพราะสีแดงที่ได้มันปังมาก แต่ก็อันตรายต่อร่างกายมากเช่นกัน ทำให้ฟันร่วง ปากเหม็น น้ำลายยืด (3)
อีกเทรนนึงที่สำคัญคือเทรนขี้แมลงวันค่ะ น่าจะเคยเห็นในหนัง/ซีรีส์กันมาบ้าง มันมาจากนักเขียนบางคนที่อธิบายถึงความงามของเทพีวีนัสที่มีไฝอยู่บนหน้า แต่สาวๆยุคนั้นใช้จุดนี้ในการปกปิดร่องรอยของซิฟิลิสหรือไข้ทรพิษ ละถ้าจุดไฝมากไปก็จะดูเว่อ น้อยไปก็จะดูเชย ต้องกะให้พอดีๆ (4)
แต่ในยุคหลังๆที่มีการปฏิวัติฝรั่งเศสเกิดขึ้น การแต่งหน้าก็เริ่มไม่เป็นที่นิยมละเพราะมันสะท้อนถึงความร่ำรวยและอภิสิทธิ์ของบุคคล การถลุงเงินของคนรวยโดยเหยียบหัวคนจน ผู้ชายเริ่มหยุดแต่งหน้าเพราะจะโดนมองว่าเหมือนผู้หญิง หมอเริ่มออกมาเตือนถึงอันตรายของเครื่องสำอางค์ (5)
พวกแป้งอะไรงี้คนก็ใช้น้อยลง รูจก็เริ่มถูกแทนด้วยขนสัตว์จากสเปนที่นำไปย้อมแล้วตัดแบ่ง แล้วค่อยเอามาทาปากกับแก้ม ช่วงปฏิวัติ ถ้าใครดูรวยดูแพง มีสิทธิ์โดนจับไปตัดหัวหมด การแต่งหน้าน้อยๆก็เลยเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ทำให้ปลอดภัย (6)
ต่อกันในเรื่องของวิกผม ทีแรกก็มีแต่ผู้ชายใส่ แต่หลังๆมาผู้หญิงก็ใส่เช่นกัน และวิกที่สาวๆใส่คืออลังการกว่ามาก สูงกว่ามาก5555 มีทั้งขนนก ริบบิ้น บางคนใส่ของเข้าไปในนั้นด้วย!! วิกผมแพงๆจะทำมาจากผมคนจริงๆ ไม่งั้นก็จะเป็นขนแพะหรือม้า (7)
อย่างที่เคยเล่าไปว่าคนยุคนั้นเห็บเหาขึ้นหัวกันเยอะมาก เลยต้องโกนผมกันแล้วหันมาพึ่งวิก แต่คือมันตลกตรงที่สุดท้ายเหาก็ตามไปขึ้นวิกอยู่ดี5555555 เพราะแชมพูที่เขาใช้กันมีส่วนผสมที่เหาชอบกินอยู่ด้วย ซึ่งจะจัดการได้ต้องเอาวิกไปต้มหรืออบในเตา (8)
คนติดหวานกันในยุคนั้น เพราะงั้นฟันจะไม่สวยกันเท่าไรนัก ทำให้การยิ้มไม่เป็นที่นิยม มีมาดามคนนึงที่ชื่อ vigée-lebrun เผยแพร่ภาพวาดตัวเองยิ้มเห็นฟัน เป็นจุดเปลี่ยนให้คนเริ่มยิ้มเห็นฟันมากขึ้นด้วย (9)
ชุดของสาวๆในแวร์ซายคือต้องเว่อต้องเป๊ะตลอดเวลา ชุดจะทำมาจากผ้าไหมชั้นดี กำมะหยี่ หรือผ้าลูกไม้ ทรวงทรงต้องเอวเอส หน้าอกเต่งตึง แต่พอมารี อ็องตัวเนตต์มีภาพวาดตัวเองใส่ชุดสบายๆ ไม่เว่อวัง ก็เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงในแฟชั่น กลายเป็นชุดเบาๆ สีขาว ทำจากผ้ามัสลิน (10)
คำถามปังมาก555555 คือจริงๆมันไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าการเข้าทรงครั้งแรกคือเมื่อไหร่ แต่เท่าที่รู้คือมีบันทึกมาจาก Hebrew Bible เป็นการเข้าทรงของแม่มด เออจริงๆมันก็มีอะไรแบบนี้มาในหลายวัฒนธรรมพร้อมๆกันเลย ที่เมกานี่เหมือนจะพีคๆมากด้วยตอนคนฮิตเล่น ouija กัน
เมื่อกี้น่ากลัวมาก เรานั่งแกร้บกลับจากห้องเพื่อนแถวเจริญกรุง แล้วก็แวะไปส่งเพื่อนคนนึงที่ห้วยขวาง พอมาถึงหน้าบ้านลงจากรถแล้วกำลังจะเข้าบ้าน จู่ๆมีคนตะโกนมาจากมอไซค์ว่า ขอโทษนะครับ ขอไอจีได้มั้ย นี่ก็แบบคะ? เขาบอกว่าเห็นตั้งแต่อยู่เจริญกรุงแล้วแต่เห็นอยู่กะเพื่อนเลยไม่กล้าขอไอจี
มันน่ากลัวมากจริงๆ ถึงสาวๆทุกคนที่ไปไหนมาไหนคนเดียว ดูหน้าดูหลังดีๆนะคะ คือเราไม่มีทางรู้เลยว่าใครจะตามเรามามั้ย อันนี้ไม่โอเคจริงๆอะ โชคยังดีที่เขาไม่ตามมาถึงในบ้านหรืออะไร แต่ไม่ควรมีใครเจออะไรแบบนี้ มันไม่ควรจะเป็นงี้ ผญ.ควรจะรู้สึกปลอดภัยไม่ว่าจะอยู่คนเดียวหรือเปล่า
เคยพูดถึงไปแล้วแต่อยากเอามารีรัน ทำไมภาพจำแม่มดของพวกเราถึงมาในรูปแบบของผู้หญิงใส่หมวกแหลม ขี่ไม้กวาด เลี้ยงแมว ปรุงยาในหม้อสีดำ? ต้นตอเรื่องนี้ย้อนไปถึงยุคกลางเลยค่ะ ยาวหน่อยแต่อยากให้ลองฟังกันดู
อาหารในการ์ตูนจิบลิคือที่สุด ㅜㅡㅜ
น้องหัวแดงคนนั้นน่ะ!
บิ้วตี้สแตนดาร์ดของผู้หญิงเป็นอะไรที่อยู่มานานมากๆ แต่ละเทรนด์ก็แรนด้อมไม่มีแบบแผน เคยสงสัยมั้ยคะว่าตอนไหนนะที่สาวๆเริ่มดัดขนคิ้ว ย้อมผม ทาปากปัดแก้ม ต้องผิวขาว แว็กซ์ขนขา ฯลฯ เธรดนี้จะมาไล่ไทมไลน์ประวัติศาสตร์ให้อ่านกันค่ะ
การดัดขนคิ้วเป็นหนึ่งในเทรนด์ทำสวยที่เก่าแก่ที่สุดในโลก เชื่อว่าต้นกำเนิดอาจมาจากแถบเอเชียและตะวันออกกลาง เช่น สำหรับสาวๆเปอร์เซีย การจัดทรงคิ้วคือเครื่องหมายการเป็นผู้ใหญ่ โดยจะใช้เส้นใยฝ้ายขมวดปม ทำให้ขนคิ้วหลุดออกมาได้อย่างง่ายดาย (1)
การย้อมผมอยู่คู่กับมนุษย์มาตั้งแต่โบราณ เชื่อว่าชาติแรกที่ทำคืออียิปต์ โดยการย้อมผมปกปิดร่องรอยผมหงอก ส่วนชาวกรีกโรมันก็เริ่มย้อมผมโดยใช้พืช รวมทั้งพบวิธีย้อมผมให้เป็นสีดำถาวรด้วย แต่มันท็อกซิกค่ะ ส่วนชาวเฟอนิเซียนมีการใช้ผงทองโรยบนผมทำให้ผมมีประกายสีทอง (2)
เทรนผิวขาวเริ่มไฮป์กันจากยุคของควีนอลิซาเบธค่ะ แต่ไม่ใช่ขาวธรรมดา มันคือขาวซีดเลย เพราะยุคนั้นปัญหาผิวหน้าเยอะมาก เป็นผลมาจากโรค เรียได้ว่าใครหน้าขาวกระจ่าง = สวยปังแล้ว จึงมีการใช้ Ceruse (ผงตะกั่วขาวผสมน้ำส้มสายชู) ทาหน้า และใช้ vermilion (จากปรอท) เพื่อให้ปากแดงแก้มแดง (3)
นอกจากผิวขาว ปากแดง อีกอย่างคือแฮร์ไลน์ต้องสูงๆ (เอาง่ายๆก็คือหัวเถิกๆ) และทรงคิ้วต้องเป๊ะแบบ 100% ซึ่งเป๊ะที่ว่าคือต้องถอนขนคิ้วให้คิ้วโก่งดั่งคันศร บางเฉียบ บางคนถึงกับถอนจนเกลี้ยงเลย จะได้โชว์หน้าผากตัวเองว่าหัวฉันเถิกที่สุดในย่านนี้แล้วนะ (4)
พวกผมปลอมหรือวิกผมล่ะ? จริงๆก็ใส่มาตั้งแต่อียิปต์โบราณ และนิยมใส่วิกขาวในศ.ที่ 18 แล้ว แต่วิกแบบที่ดูธรรมชาติมาบูมช่วงปลาย 1800s ค่ะ ในยุควิคตอเรียน การมีผมลอนเล็กๆตกแต่งกรอบใบหน้าสักหน่อยเวลารวบผมคือกรุบกริบ ซึ่งวิกยุคนั้นก็ทำมาจากผมจริงๆของคนนี่แหละ (5)
มาในเรื่องของการโกนขนกันบ้าง เจ้าแรกเจ้าเดิมที่เริ่มโกนขนทั้งตัวคืออียิปต์โบราณค่ะ แต่เขาทำเพราะรักษาความสะอาด จนที่เมกา ในปี 1915 ที่โกนขนแรกของโลกถูกผลิตขึ้นและพุ่งเป้าไปที่ผู้หญิง แถมยังมีภาพถ่ายสาวๆใส่เสื้อแขนกุดแบบไม่โชว์ขนรักแร้ด้วย (6)
ต่อกันด้วยเรื่องของมาสคาร่า ให้ทายว่าเริ่มจากที่ไหน? ใช่แล้ว อียิปต์เจ้าเก่าเอง โดยเขาจะใช้ผงทาตาสีดำปัดขนตา เพื่อป้องกันดวงตาจากการจ้องแสงอาทิตย์นานๆ ในยุคของควีนอลิซาเบธจะนิยมเฉดสีอ่อน แต่ยุควิคตอเรียนจะนิยมเฉดสีเข้ม ส่วนผสมโฮมเมดด้วยนะ ทำจากหลากหลายทั้งเบอร์รี่จนถึงขี้เถ้า (7)
ในปี 1915 บริษัทเมบิลีนถูกก่อตั้งขึ้น โดยเจ้าของเห็นพี่สาวตัวเองใช้วาสลีนกับผงถ่านหินในการทำให้ตาคมเฉี่ยว เขาเลยปิ๊งไอเดียอยากทำเครื่องสำอางค์สำหรับปัดขนตาโดยเฉพาะ เลยมีการคิดค้น Maybelline Cake Mascara ขึ้น โดยถือว่าเป็นเครื่องสำอางค์ดวงตาสมัยใหม่อย่างแรกของโลก (8)
อายไลนเนอร์บ้าง แน่นอน เป็นอีกครั้งที่ต้องให้เครดิตชาวอียิปต์โบราณทั้งชายและหญิงที่เขียนอายไลนเนอร์เพื่อป้องกันแสงแดดเข้าตา รวมถึงเชื่อว่าอาจป้องกันการติดเชื้อในดวงตา แต่ก็เริ่มหยุดใช้กันหลังจากที่อียิปต์ตกอยู่ภายใต้อาณาจักโรมัน แล้วเทรนนี้กลับมาได้ไงนะ? (9)