คำตอบคือ เมื่อมีการค้นพบโลงของฟาโรห์ตุตันคามุนค่ะ ทำให้คนรู้จักเรื่องของการใช้อายไลนเนอร์ นับตั้งแต่ช่วงปี 1920s ก็มีการใช้อายไลนเนอร์มาเรื่อยๆ ก่อนจะมาเป็นที่นิยมในช่วงปี 1970s (10)
เมื่อไหร่นะที่คนเริ่มโกนขนขา? ทุกอย่างเริ่มมาจากภาพนี้ของคุณ Betty Grable ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เลยค่ะ สาวๆเห็นขาเนียนๆของเธอละก็มีความแบบ จะเป๊ะเหมือนเธอให้ได้ก็ต้องขาเนียน เทรนการโกนขนขาในเมกาจึงได้เริ่มต้นขึ้นน่ะเอง (11)
ประวัติศาสตร์หมูกะทะค่ะ จริงๆมีอีกตำนานนึงว่ากันว่าเริ่มมาจากทหารมองโกลที่เกิดหิวระหว่างสงครามละนึกอะไรไม่ออกเลยใช้หมวกทหารที่ทำจากเหล็กมาใช้เป็นที่สำหรับย่างเนื้อ เตาหมูกะทะเลยออกแบบมาให้คล้ายหมวกทหารน่ะเอง ส่วนของไทยคือเราภูมิใจมาก หมูกะทะเมดอินไทยแลนด์ก็มา
ธีมวันเกิดเพื่อนปีนี้คือ Mean girls จะแต่งเป็นชุดไหนนอกจากจิงเกิลเบลร็อคได้อีกล่ะคะ 🤪
“ทำไมคนสมัยก่อนไม่ยิ้มเลยเวลาถ่ายรูป” เคยคิดแบบนี้กันมั้ยคะเวลาเห็นรูปถ่ายเก่าๆ จริงๆแล้วสมัยก่อน ตั้งแต่ช่วงวิคตอเรียนที่เริ่มมีการถ่ายรูปเกิดขึ้น ทุกคนเชื่อเหมือนกันค่ะว่าต้องห้ามยิ้ม! และถึงจะอยากยิ้มก็ยิ้มไม่ได้ด้วย แล้วเรามาเริ่มยิ้มตอนถ่ายภาพตั้งแต่เมื่อไหร่นะ? มาอ่านกันค่ะ
สำหรับบางคนการถ่ายภาพถือเป็นกระบวนการน่ากลัวค่ะ มีอาการกลัวกล้อง ถึงกับเรียกสตูดิโอถ่ายภาพว่าห้องเชือด กล้องคืออุปกรณ์เชือด ซึ่งจุดเปลี่ยนคือการโฆษณาของ Kodak ที่โปรโมทให้สตูดิโอถ่ายภาพเป็นสถานที่น่ารื่นรมย์มากกว่าน่ากลัว เช่น มีของเล่นให้เด็กๆเล่นขณะถ่ายภาพ (1)
สมัยก่อนแทนที่จะพูดว่า “ชีส” (Say Cheese!) เวลาถ่ายภาพ เขาจะนิยมบอกว่าให้พูดว่า “ลูกพรุน” (Prunes) แทน เพื่อปากจะได้ดูเล็กๆ เพราะในยุควิคตอเรียน เทรนปากเล็กกำลังมา แล้วก็ท่าทางสงบสเงี่ยมเหนียมอายคือมารยาทที่เหมาะสม (2)
อีกอย่างนึงก็คือคนในยุคนั้นฟันไม่สวยค่ะ อย่างว่า เรื่องของทันตกรรมมันก็ยังไม่ได้ก้าวหน้าเหมือนปัจจุบัน ถ้าเป็นภาพวาดก็ยังจะปกปิดเรื่องฟันได้ แต่ภาพถ่ายมันจะโชว์ทุกอย่าง คนก็เลยนิยมปิดปากกันเวลาโดนถ่ายภาพค่ะ (3)
การยิ้มมากเกินไป ยิ้มกว้างๆ เชื่อมโยงเข้ากับความผิดปกติทางจิตด้วยนะ ก็คือยิ้มเยอะๆจะถูกหาว่าเป็นบ้า หนึ่งในมารยาทของชาววิคตอเรียนคือห้ามยิ้มเยอะค่ะ ห้ามโชว์ความรู้สึกตัวเองเยอะเกินไปด้วย (4)
ค่าการเปิดรับแสงของกล้องสมัยก่อนค่อนข้างนานค่ะ คนที่ถูกถ่ายภาพต้องนั่งเฉยๆเป็นเวลากว่า 15 นาทีเพื่อถ่ายภาพภาพหนึ่ง ซึ่งถ้าเกิดต้องค้างด้วยท่ายิ้มนานขนาดนั้นคือเหงือกแห้งก่อนแน่นอน เลยนิยมหน้านิ่งกันมากกว่า และที่ภาพถ่ายยุคเก่าชอบเบลอ ก็เพราะแค่การขยับนิดเดียวทำให้ภาพเบลอได้ (5)
อย่างที่เคยพูดถึงประเพณีถ่ายภาพกับคนตาย จะเห็นว่าคนตรงกลางภาพชัดมากๆในขณะที่อีกสองคนภาพออกมาเบลอ เป็นเพราะคนตรงกลางคือศพค่ะ ไม่มีชีวิตแล้วจึงขยับไม่ได้และได้ภาพออกมาชัด สมัยนั้นการถ่ายภาพแพงมาก คนจึงเลือกถ่ายในเวลาสำคัญเท่านั้น นั่นคือการถ่ายกับคนที่รักเป็นครั้งสุดท้าย (6)
แล้วตกลงเรามาเริ่มยิ้มตอนถ่ายภาพกันได้ยังไง? ผายมือไปที่ Kodak เลยค่ะ ช่วงนั้นตลาดภาพถ่ายถูกผูกขาดโดยเจ้านี้ เพราะงั้นอิทธิพลของโกดัคคือมีไปรอบโลก มีการเริ่มโยงการถ่ายภาพกับความสุข (เพราะก่อนหน้ามีแต่อะไรซีเรียสๆ ถ่ายกับคนตายงี้) (7)
วันนี้ดูซินเดอเรล่าอีกรอบ ซีนนึงที่ทำให้ใจฟูคือซีนที่พวกหนูกับนกช่วยกันทำชุดให้ยัยซิน ㅜㅡㅜ รู้สึกว่ามันน่ารักมากๆๆเลย ยัยซินคงเป็นคนน่ารักจิตใจดีมาก ถึงมีเจ้าพวกนี้คอยช่วยอยู่เสมอ ทำให้นี่อยากมีหนูกับนกทำชุดให้บ้างเลย ขอฝึกเทรนหนูที่บ้านแปป555555
สิ่งนี้คือ ‘ขวดใส่น้ำตา’ ในยุควิคตอเรียนล่ะ อย่างที่เคยเล่าว่ายุคนี้จริงจังเรื่องการไว้ทุกข์มาก ขวดพวกนี้เลยเอาไว้เก็บน้ำตาเวลาร้องไห้ถึงคนที่จากไป ถ้าเป็นแม่หม้าย จะพกขวดนี้ไปสุสานในวันครบรอบเสียชีวิต 1 ปี แล้วเทน้ำตาที่เก็บมาตลอดปีลงบนหลุมศพ เพื่อเตือนใจว่าไว้ทุกข์มาปีนึงแล้ว
วันก่อนดู Princess and the Frog แล้วอยากไปนิวออร์ลีนส์เลย ; - ; ไม่ใช่อะไร อยากไปกินทุกอย่างที่อยู่ในหนัง เป็นการ์ตูนดิสนีย์อีกเรื่องที่ทำของกินออกมาได้น่าลองมาก เบนเย่เอย ซุปกัมโบ้เอย อาหารเช้าเช่นพวกแพนเค้กอีก เลิ้บบบบบ
กรี้ดดดดดด Bridgerton ซีซั่นสองมาแล้วทุกคน ลงเน็ตฟลิกซ์แล้วๆๆๆๆ ㅜㅡㅜ แปลงร่างเป็นสาวยุครีเจนซีกันเถอะ
#แอเรียลควีนดูหนังจิบลิสักทีนะ วันนี้ดู Grave of the fireflies หรือสุสานหิ่งห้อยในตำนาน ใครที่สภาพจิตใจไม่โอเคไม่ควรดูเด็ดขาด หดหู่มากๆ ยิ่งตอกย้ำว่าสงครามไม่เคยทำให้อะไรดีขึ้น หนังพาเราร่วมเอาชีวิตรอดไปกับสองพี่น้อง เป็นตัวละครที่ทำให้เราตกหลุมรักได้ในเวลาสั้นๆเลยโดยเฉพาะน้องสาว
ในยุควิคตอเรียนมีกิจกรรมประหลาดๆเต็มไปหมด รู้กันหรือเปล่าคะว่างานอดิเรกนึงของคนรวยยุคนั้นคือการกินเหล้า สังสรรค์ และนั่งดู ”โชว์แกะศพ” เหมือนกับที่เรานั่งดูหนังกันทุกวันนี้เลย!! ซึ่งศพที่แกะคือมัมมี่ เพราะในยุคนั้นคนบ้าคลั่งกันกับเรื่องเกี่ยวกับอียิปต์มากๆ
สถานที่ที่คนรวยนิยมไปเมากันไม่ใช่ทีผับบาร์ แต่เป็น the Royal College of Surgeons ค่ะ แต่โชว์แกะศพเริ่มครั้งแรกในปี 1834 ที่ London anthropology museum  ซึ่งตั๋วขายหมดเกลี้ยง มัมมี่หญิงถูกวางในเครื่องมือที่ทำให้เหมือนเธอกำลังเต้นและยังมีชีวิตอยู่ ขณะค่อยๆแกะผ้าออกจากตัว (1)
ที่มันน่าตื่นเต้นไม่ใช่แค่การแกะผ้าออก แต่คนตื่นเต้นว่าจะได้เห็นอะไรข้างใน อย่างเคสนึงแกะออกมาแล้วพบว่าในหัวศพมีแต่ทราย หรืออีกเคสคือแกะออกมาแล้วศพข้างในผสมรวมกันกับผ้าพันแผลข้างใน จนแยกไม่ออกว่าอันไหนคนอันไหนผ้า คือเหมือนสุ่มกาชานิดๆว่าจะได้เจออะไร คนก็จอยกัน (2)
นอกจากนี่ยังมีการที่เจ้าของมัมมี่ใส่ของขวัญเล็กๆน้อยๆลงไปในศพก่อนด้วย เพื่อเพิ่มความตื่นเต้นให้กับแขกที่มาดู และทำการแจกของนั้นให้กับคนดู อาจเป็นน้ำหอม เครื่องราง เครื่องเพชรพลอยเล็กๆน้อยๆ หรืออัญมณี เป็นกิมมิคอีกอย่างที่ทำให้คนมาดูตื่นเต้น (3)
ส่วนมากจะจัดกันเป็นแบบปาร์ตี้ไพรเวทค่ะ จัดโดยคนรวยจัดๆที่มีเงินมากพอจะซื้อมัมมี่มา ซึ่งการลักลอบซื้อขายมัมมี่เนี่ยก็เริ่มมีมาตั้งแต่ ศ.ที่ 15 คือจะมีพ่อค้าแอบเอามัมมี่มาขายในยุโรป (5)
คนที่ทำให้กิจกรรมนี้ป๊อปปูล่าร์คือคนนี้ค่ะ Thomas Pettigrew คือเขาเรียนด้านอียิปต์มาโดยเฉพาะ ถึงจะไม่ใช่คนแรก แต่เป็นคนที่ทำให้มันกลายเป็นโชว์ ด้วยการผสมของสองอย่างที่คนยุควิคตอเรียนคลั่งไคล้ คืออียิปต์ วิทยาศาสตร์ และเรื่องน่ากลัว (6)
ยังดู Remember 15 ไม่จบ แต่ดูไปสักพักแอบคิดว่าชื่อตัวละครเรื่องนี้บอกใบ้ว่าใครเป็นคนร้ายตัวจริงหรือเปล่านะ? เพราะชื่อตัวละครน่าสนใจมาก เปโตร: เป็นชื่อนักบุญผู้เป็นพระสันตะปาปาคนแรก เชื่อมโลกมนุษย์กับพระเจ้า อาจจะไม่ใช่คนร้ายก็ได้ (1)
a new journey has just officially begun! 🤟🏻 หลังจากรอคอยมานานมาก ในที่สุดก็ได้ทำตามฝันอีกหนึ่งฝันซะที รอบนี้ตั้งใจว่าจะต้องสนุก ใช้ชีวิตให้เต็มที่ แล้วเอาคอนเท้นดีๆมาฝากทุกคนเยอะๆ แล้วเจอกันปีหน้านะคะ 🤍