ภาพจากดิสนีย์แลนด์ที่ชอบที่สุดจะเป็นภาพนี้เสมอ แอเรียลกับจัสมินน่ารักมากๆๆๆ เขาเอาจมูกชนกันด้วย ฮื่อ เขินไปหมด
คุณคนนี้ทำงานเป็นแคสเมมเบอร์ที่ดิสนีย์เวิร์ลมาห้าปี แต่เพราะโควิดทำให้เธอไม่ได้ทำต่อ 😩 ดูคลิปแล้วเศร้าแทนเลย เป็นเจ้าหญิงที่สวยมากๆๆๆ นี่ชอบวิธีการขยับตัวของเขามากเลย เป็นแอเรียลก็ขยับแบบนึง ซินเดอเรล่าก็อีกแบบนึง สุดยอด เหมือนคนละคนเลย
วันก่อนเพื่อนถามว่าสาวๆยุควิคตอเรียนในหน้าร้อนนี่เขาแต่งตัวยังไงกัน เหมือนกับที่เราเห็นๆกันหรือเปล่า ก็ตอบเลยว่าใช่ค่ะ อย่างชุดในรูปนี่ถือว่าเป็นชุดหน้าร้อน ใส่สบายใส่ง่ายที่สุดแล้ว ถึงจะแขนยาวกระโปรงลากพื้น แต่วัสดุที่ใช้ทำชุดทำมาจากผ้าฝ้ายผ้าซาตินที่เบามาก
บรรยากาศการไปเที่ยวทะเล ก็ชุดแบบนี้แหละ55555 แต่แค่เนื้อผ้ามันจะเบากว่าใส่สบายกว่า
เขาบอกว่าตอนสโนว์ไวท์ฉายในโรง (สักปี 1937 โน่นแหละ) โรงหนังที่เมกาหลายที่ต้องเปลี่ยนเบาะนั่งยกเซ็ต แถมเปลี่ยนวัสดุที่ใช้ทำเบาะอีก เพราะหนังทำให้เด็กหลายคนมากกลัวจนฉี่รดเบาะ ตอนเด็กๆเราดูก็รู้สึกว่ามันหลอนนะ โตมาดูก็ยังมีความหลอน ทั้งภาพ สี เสียง เส้นเรื่องยังน่ากลัวเลยอะ
ราชินีสั่งให้นายพรานฆ่าสโนว์ไวท์ที่เป็นลูกเลี้ยงไม่พอ ยังบังคับให้ควักหัวใจออกมาใส่กล่องอีก (ต้นฉบับคือนางเอาไปกินด้วยนะ) บรื๋อ
อยากไปญี่ปุ่น คิดถึงใจจะขาด
ร้านแรกที่จะพุ่งไปกินถ้าได้ไปญี่ปุ่นคือร้านซูชิที่อากิฮาบาระ อยู่ตรงหน้าสถานีเลย อร่อยมากแบบแสงออกปาก ซูชิหน้ากุ้งท้อปด้วยชีสกับซอสเพสโต้คือเดอะเบส ㅜㅡㅜ
รู้สึกดีใจที่โตมากับอนิเม แบบ ถ้าช่วงชีวิตวัยเด็กของชั้นไม่มีการ์ตูนญี่ปุ่นชั้นก็คงไม่โตมาจนเป็นอย่างทุกวันนี้ ขอบคุณทุกอย่างที่ทำให้ตัวเองตัดสินใจเริ่มดูอนิเมเป็นครั้งแรก ㅜㅡㅜ
(tw: death) ยุควิคตอเรียนเป็นยุคที่เรียกได้ว่าผู้คนหมกมุ่นอยู่กับความตาย ส่วนนึงก็มาจากการไว้ทุกข์ตลอดชีวิตของควีนวิคตอเรียต่อพระสวามี ทำให้มีวิธีการแปลกๆมากมายที่กลายเป็นประเพณีของการไว้ทุกข์และการ เธรดนี้จะมาเล่าให้อ่านกันค่ะ ค่อนข้างหลอนเลยทีเดียวถ้ามองจากปัจจุบัน
การถ่ายภาพเริ่มขึ้นครั้งแรกในปี 1839 ด้วยวิธี daguerreotype และสิ่งที่ชาววิคตอเรียนทำคือการถ่ายภาพกับคนตายในเซตติ้งภายในบ้าน โดยศพจะถูกจับโพสต์ท่าให้เกี่ยวกับอาชีพของตัวเอง ส่วนถ้าเป็นเด็กก็จะถ่ายร่วมกับของเล่น หรือนั่งกับพี่น้องพ่อแม่ (1)
บางทีก็มีการวาดภาพตาบนเปลือกตาที่ปิดอยู่ด้วย ด้วยความที่การถ่ายภาพสมัยนั้นราคาแพง หลายๆครอบครัวไม่สามารถจ่ายเพื่อถ่ายภาพครอบครัวได้ในเวลาปกติ ส่วนมากเลยจะจ่ายเงินกับการถ่ายภาพกับคนตายกัน เพราะถือว่าเป็นภาพสุดท้ายของครอบครัวและภาพนั้นจะอยู่ตลอดไป (2)
บางบ้านที่เสียลูกในวัยเด็กไป (ซึ่งยุคนี้เด็กๆเสียชีวิตกันเยอะมาก อย่างที่เคยเล่าไป) บางทีจะสั่งทำตุ๊กตาขึ้นมา ตุ๊กตานี้จะใส่ชุดของเด็กที่เสีย บางทีก็ใช้ผมของเด็กด้วย ข้างในจะใส่ทรายไว้เพื่อให้น้ำหนักสมจริง บางบ้านก็วางไว้ที่สุสาน แต่บางบ้านเก็บไว้ที่บ้าน โดยใส่ในโลงหรือเปล (3)
สมัยนั้นธรรมเนียมการไว้ทุกข์จะเทหนักไปที่ผู้หญิงค่ะ ในช่วงปี 1870s ถึงกับมี ‘อุปกรณ์ฝึกไว้ทุกข์’ สำหรับเด็กเลย มีโลงศพ ตุ๊กตา เสื้อไว้ทุกข์ ให้เด็กผู้หญิงฝึกไว้ทุกข์ (4)
เครื่องเตือนใจถึงคอนเซ็ปต์ Memento mori (สักวันหนึ่งก็ต้องจากโลกนี้ไป) มาทั้งในรูปแบบของหน้ากาก ภาพวาด รูปปั้น เครื่องประดับ สำหรับผู้ไว้ทุกข์ และเพื่อใช้ระลึกถึงคนตาย ผมของคนตายจะถูกนำมาทำเป็นเครื่องประดับ พวงหรีด เสื้อรัดอก ฯลฯ เพื่อให้ผู้ไว้ทุกข์ใส่ (5)
ยุคนั้นมีอาชีพ ‘ผู้ไว้ทุกข์มืออาชีพ (mutes)’ ด้วยค่ะ ซึ่งพวกเขาจะถูกจ้างให้อยู่ใกล้โลงศพ หรืออยู่บริเวณใกล้ๆ และจะดูทุกข์ใจมากๆ คนเหล่านี้จะเพิ่มความเคร่งขรึมให้กับงาน และธรรมเนียมวิคตอเรียนคือไม่ควรร้องไห้ในที่สาธารณะ คนเหล่านี้ก็จะทำหน้าที่แทน (6)
ด้วยความนิยมของการจัดพิธีศพ ทำให้คนยุควิคตอเรียน(ทั้งที่สูญเสียใครสักคนไป ทั้งคนทั่วไป) นิยมไปปิคนิคที่สุสานค่ะ นอกจากจะเพราะเรื่องของความตายแล้ว ในเมืองที่คนเยอะอย่างลอนดอน สุสานนับเป็นสถานที่ที่สะอาด สะดวกสบาย มีพื้นที่กว้างแถมสดชื่นไปด้วยต้นไม้ (7)
การใส่เสื้อผ้าสีเข้ม/สีดำก็เป็นอิทธิพลมาจากควีนวิคตอเรีย ที่ใส่เพื่อไว้ทุกข์ให้พระสวามีตลอดชีพ สำหรับแม่หม้ายบางทีใส่กันถึง 4 ปีหรือตลอดชีวิต ซึ่งช่วงเวลาไว้ทุกข์แรกๆ นอกจากเสื้อผ้าแล้ว หมวก ร่ม ผ้าเช็ดหน้า ก็เป็นสีดำด้วย ยุคนั้นอัตราคนเสียเยอะ บางคนจึงใส่สีเข้มตลอดชีวิตก็มี(8)
ในช่วงระยะสุดท้ายของชีวิต ครอบครัวจะนั่งอยู่กับคนคนนั้นตลอดจนจากไป และเมื่อเขาจากไปแล้ว คนที่จะรับช่วงนั่งกับผู้ตายต่อคือเพื่อนที่ไม่ใช่คนในครอบครัว เพื่อแบ่งเบาความทุกข์เศร้า (9)
Black Crêpe หรือผ้าแพรย่นสีดำคือสัญลักษณ์การไว้ทุกข์ จะผูกอยู่บนกลอนประตูเพื่อบอกว่าเทวดาแห่งความมืดได้นำสิ่งมีค่าของครอบครัวไป และการเคาะประตูหรือกดกริ่งจะเป็นการรบกวน มีหลายทีที่ประตูบ้านจะถูกเปิดไว้ คนจะได้เข้ามาเงียบๆ ผ้าสีขาวจะใช้ผูกแทนถ้าผู้ตายยังเด็กหรือยังไม่แต่งงาน (10)
อีกอย่างนึงที่ถือว่าสำคัญคือการหยุดเวลาค่ะ จะมีการหยุดนาฬิกาไว้ตามเวลาที่เสียชีวิตเป้ะๆ เชื่อว่าเป็นการเปลี่ยนโชคร้ายให้เป็นดี และเชื่อว่าจะทำให้ผู้ตายได้ไปต่อในโลกหน้า ถ้าเวลาไม่ถูกหยุด จะทำให้วิญญาณยังคงติดอยู่กับปัจจุบัน หรืออยู่ระหว่างความเป็นและความตาย (11)
หลังจากคนตายถูกฝังเรียบร้อยแล้ว นาฬิกาเรือนนั้นสามารถถูกทำให้เดินต่อได้ แต่ถ้าคนที่เสียชีวิตเป็นเจ้าบ้าน นาฬิกาเรือนนั้นจะไม่สามารถนำมาใช้ได้อีกเลย (12)
อีกสิ่งนึงที่ต้องถูกจัดการคือกระจกค่ะ เชื่อว่ากระจกสามารถกักขังคนตายไว้ได้ และคนตายอาจพาคนเป็นไปอยู่ด้วย กระจกทุกบานในบ้านจึงต้องถูกคลุมด้วยผ้าสีดำ นอกจากนั้นยังมีรูปวาดที่ต้องถูกกลับหัวหรือคลุมผ้า และของแวววาวเช่นแจกันด้วย เพราะถือว่าของแวววาเป็นการดูถูกครอบครัวที่ไว้ทุกข์ (13)
ถ้าคนในบ้านหลายคนเสียชีวิต หรือเสียกันทั้งบ้าน ใครก็ตามที่เข้าไปในบ้านจะต้องผูกริบบิ้นสีดำด้วย แม้แต่สุนัขหรือไก่ก็ต้องผูก เพราะเชื่อว่าจะป้องกันไม่ให้ความตายแพร่ออกไปนอกบ้าน ถ้าสัตว์เลี้ยงกลับดาว เขาก็จัดงานศพให้นะคะ โดยเฉพาะน้องหมา (14)
หลังงานศพจะมีการทานอาหารสำหรับผู้ไว้ทุกข์ ใครที่ไปร่วมวงไม่ได้ จะได้รับคุกกี้หรือบิสกิตจักทำพิเศษที่ทำจากเนยและเครื่องเทศ ถูกห่อโดยกระดาษที่เขียนกลอนเศร้า ข้อมูลเกี่ยวกับคนตาย คำในไบเบิ้ล หรือบทสวด และผูกด้วยริบบิ้นดำ ซึ่งกระดาษนั้นก็เป็นเหมือนของที่ระลึกจากงาน (15)