แล้วหลังจากปี 536 เกิดอะไรขึ้นต่อ? มีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้าง? ยุโรป/เอเชียฟื้นฟูตัวเองกันอย่างไร เดี๋ยวพรุ่งนี้มาต่อในเธรดนี้ให้อ่านนะคะ ค่อนข้างยาวหน่อย แต่ไม่ทำให้ผิดหวังแน่นอนค่ะ 🤍🤍
อารยธรรม Moche (แถบเปรูในปัจจุบัน) ที่เคยรุ่งเรืองทางด้านการเดินเรือ ประมง และเขื่อน ได้รับผลกระทบหนักมากค่ะ เพราะปรากฏการณ์เอลนิโญที่เกิดขึ้นทำให้น้ำอุ่นและประชากรปลาลดลง รวมถึงน้ำท่วมและฝนตกทำลายระบบชลประทานและผู้นำไร้ประสิทธิภาพ ก็นำไปสู่ความอดอยากและบั่นทอนความรุ่งเรือง (10)
แต่นักวิชาการบางท่านเชื่อว่าการระเบิดไล่เลี่ยกันของภูเขาไฟในอเมริกาเหนือคือตัวการที่ทำให้เมฆหมอกและเถ้าถ่านปกคลุมทั่วยุโรปค่ะ (9)
นักวิชาการเรียกยุคนี้ว่า ‘Little Ice Age’ ค่ะ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงของอากาศส่งผลให้โลกเย็นลงประมาณศตวรรษนึง แต่ผลที่ตามมาคือความอดอยากและปัญหาการเพาะปลูก และสุขภาพของผู้คนที่อ่อนแอลง และหนึ่งในตัวการคือภูเขาไฟระเบิดค่ะ โดยภูเขาไฟที่เอล ซาวาดอร์คือจุดเริ่มต้นของปีมหาโหดนี้ (8)
ด้วยความที่ยังไม่มีความรู้ด้านอุตุนิยมวิทยามากพอ ผู้คนยังไม่รู้ว่าสภาพอากาศและเถ้าหมอกเกิดจากภูเขาไฟระเบิด จึงทำให้ผู้คนหวาดกลัวและโยงมันเข้ากับพลังที่มองไม่เห็น (7)
บันทึกจากชาวไอร์แลนด์จะถูกบันทึกโดยนักบวช ซึ่งพูดถึงความล้มเหลวในการปลูกพืช และปัญหา ‘ขาดแคลนขนมปัง’ ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ของคนในยุคนั้น (นักบวชไอริชเชื่อในการเรียนรู้ เพราะงั้นเค้าจะทำการบันทึกเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นเป็นลายลักษณ์อักษรด้วย) (6)
ที่แถบสแกนดิเนเวีย เมืองและหมู่บ้านในสวีเดนถูกทิ้งร้าง ผู้คนอพยพไปหมด ยังฟันธงเหตุผลแน่ชัดไม่ได้ แต่เชื่อว่าหมอกปริศนาและความอดอยากน่าจะมีส่วน รวมถึงเหตุการณ์ไฟไหม้ครั้งใหญ่ แถมโยงไปถึงตำนานนอร์สที่ว่าถึงฤดูหนาว 3 ปีก่อนเกิดแรคนาร็อค เชื่อว่าเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในครั้งนี้ (5)
ที่ประเทศจีนช่วงปี 536 มีปรากฎการณ์เถ้าสีเหลืองประหลาดร่วงลงมาจากฟ้า ซึ่งไม่มีบันทึกว่าคืออะไร แต่สามารถกอบกำได้เต็มมือ ถัดมาก็ยังมีหิมะตกในฤดูร้อน ซึ่งทำให้เพาะปลูกไม่ขึ้น และประชาชนล้มตายเพราะอดอยากถึง 70-80% เหตุการณ์คล้ายกันเกิดขึ้นในเมโสโปเตเมีย บันทึกว่า ‘หนาวจนนกตาย’ (4)
อย่างที่บอกว่ามันมืดมากๆ ซึ่งพอมืด ทุกอย่างก็พินาศ เพราะเพาะปลูกไม่ขึ้นเลย อุณหภูมิโลกลดลงประมาณ 1.6-2.5 องศา ทำให้อารยธรรมต่างๆรอบโลกลำบากกับการผลิตอาหารเพื่อการอยู่รอด ซึ่งความขาดแคลนนี้กระจายตัวจากยุโรปไปถึงเอเชีย รวมกับภูเขาไฟระเบิด ยิ่งทำให้อากาศแย่ลง (3)
มีหมอกเมฆหนาทึบเกิดขึ้นโดยทั่ว คนในสมัยนั้นอธิบายลักษณะของหมอกและสภาพท้องฟ้าคือ ราวกับเกิดสุริยุปราคาตลอดเวลา ท้องฟ้ามืด จะสว่างอยู่เพียงสามชั่วโมงเศษๆในเวลาเช้าเท่านั้น ซึ่งจริงๆแล้วหมอกเหล่านั้นมาจากภูเขาไฟระเบิด ส่งผลให้เถ้าลอยคลุ้งไปทั่วโลกค่ะ (2)
เธรดนี้อยากเล่าเรื่องของปีที่นักประวัติศาสตร์หลายคนลงความเห็นว่าเป็นปีที่ ‘แย่ที่สุด’ ในประวัติศาสตร์มนุษย์: นั่นคือปี 536 ค่ะ ทำไมถึงแย่ที่สุด? เพราะมีการเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติเกิดขึ้นที่ส่งผลกับแทบจะทุกอารยธรรมรอบโลก และนี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นตามมาค่ะ มาอ่านกันว่าแย่ขนาดไหน (1)
เอาทะเลมาฝากค่ะ ขอให้วันนี้เป็นวันที่ดีนะคะ ♡
ป้ายนี้น่ารักแม่กกก ห้ามให้อาหารพวกแฟรี่นะ ไม่งั้นพวกเค้าจะขี้เกียจจนเคยตัวและหยุดหาอาหารเอง ที่สำคัญ พวกมดก็อาจจะมาแย่งกินไปหมด! เพราะมีประตูพวกนี้รอบเมือง เด็กๆก็ชอบเอาของจิ๋วไปวางไว้หน้าประตูให้กับพวกแฟรี่ล่ะ 🌻
อ่านคู่มือแฟรี่แล้วเจอเรื่องของประตูแฟรี่ที่เมือง Ann Arbor 🧚🏻‍♀️ อยู่ๆก็มีประตูจิ๋วปรากฎอยู่รอบเมือง เชื่อกันว่าเป็นฝีมือของนักวาดภาพหนังสือนิทานคนนึง ที่ตั้งใจทำเพื่อเตือนให้ทุกคนรู้ว่าแฟรี่อยู่รอบตัวเรา และเป็นช่องทางให้ชาวแฟรี่เข้าถึงแกลอรี่ศิลปะ ร้านเสื้อผ้า ฯลฯ ของมนุษย์ด้วย🤍
เอามาจากเล่มนี้เลยย เล่มโปรดของเราเองค่ะ 🥺🤍 หายากมากกว่าจะได้มาครอบครอง มีของเจ้าหญิงทุกคนเลย ใครอยากอ่านอยากเห็นปราสาทของเจ้าหญิงคนไหน บอกกันมาได้เลยนะคะ จะนำมาเล่าให้อ่านอีกเยอะๆเลยยย
ห้องนี้ไม่พูดถึงไม่ได้! คอนเสิร์ตฮอลประจำวัง การมาฟังเพลงในวังถือเป็นกิจกรรมอย่างนึงที่ชาวเงือกชอบ แน่นอนว่าคิงไตรตันได้ที่นั่งดีที่สุดเสมอ ส่วนเปลือกหอยที่ปิดไว้ก็คือเหมือนในการ์ตูนเลย สาวๆเงือกจะโผล่ออกมาจากในนั้น
ห้องนอนของสาวๆ ก็คือนอนกันในเตียงเปลือกหอยล่ะ ความพีคคือหมอนกับเตียงนี่ทำมาจาก sea silk ด้วยนะ (ผ้าไหมทะเลก็มา เป็นยังไงนะอยากรู้!) รอบๆห้องจะมีดอกไม้ตกแต่งและส่งกลิ่นหอม ส่วนตรงประตูจะมีสาหร่ายเขียว ที่แต่งห้องด้วยสีม่วงกับน้ำเงินเป็นหลักเพราะเชื่อว่าทำให้ผ่อนคลายที่สุด
ห้องดนตรีสำคัญมาก เพราะบ้านนี้เขาชอบจัดคอนเสิร์ตและชอบการร้องเพลง ห้องนี้อยู่กลางปราสาทเลย ตรงกลางห้องจะเป็นออร์แกนทะเลขนาดใหญ่ ในห้องก็มีเครื่องดนตรีอื่นๆ ซึ่งทุกอย่างทำมาจากเปลือกหอย ปะการัง และหิน
นี่คือห้องครัวในวัง สรุปก็คือชาวเงือกในเวิร์สแอเรียลกินสมุนไพรทะเลกับเครื่องเทศเป็นหลัก!! พวกพืชจะถูกเก็บไว้ในหม้อพิเศษและวางไว้บนชั้น ซึ่งพวกพืชพวกนี้ก็เอามาจากสวนในวัง (คือปลูกเองกินเอง) ฟันแฟคคือเงือกหัวหน้าคนครัวจะใส่ผ้าพันคอสาหร่ายด้วย เป็นเครื่องแต่งกายประจำตำแหน่ง 🤣
ห้องแต่งตัวของสาวๆเงือกทั้งเจ็ดคน ลักษณะเด่นคือกระจกกับพืชพรรณสำหรับดูแลผิว นอกจากเวลาเล่นคอนเสิร์ต ก็เป็นคล้ายๆห้องที่สาวๆเอาไว้พูดคุยกัน เหมือนห้องนั่งเล่นนั่นแหละ
เคยสงสัยมั้ยทุกคนว่าปราสาทใต้ทะเลของแอเรียล แต่ละห้องมีอะไร เป็นยังไงบ้าง 🧜🏻‍♀️ วันนี้เอารูปแผนผังแต่ละห้องในปราสาทมาฝาก ในเธรดจะแนะนำห้องสำคัญๆให้อ่านกัน ที่น่าสนใจคือห้องครัวอะ ในที่สุดก็ได้รู้แล้วว่าชาวเงือกกินอะไรกัน5555555
อีกซีน ซีนนี้ก็น่ากัวววว
เออตอนเด็กๆชั้นกลัวซีนนี้จริงนะ มันหลอนๆทั้งหน้าสโนว์ไวท์ ทั้งซาวด์ ละก็บรรยากาศในป่าด้วย เห็นว่าเรื่องนี้เป็นอนิเมชั่นเรื่องแรกๆเลยที่ลองทำการ์ตูนออกมาให้มีความน่ากลัว แต่ชอบท่าทางยัยสโนว์ไวท์ ถึงจะกลัวแต่จริตจก้านเจ้าหญิงก็ยังไม่ทิ้งลาย55555
ไว้วันหลังมาเล่าเป็นเธรดยาวๆค่ะ อันนี้ไปเจอคลิปน่าสนใจมาพอดีเลยแวะเอามาเล่าคร่าวๆเนอะ เธรดสุดท้ายนี้ ฝากภาพชุดยามเย็นสวยๆของสาวๆยุคนั้นให้ดูกันค่ะ 🤍
เป็นยุคที่ผู้หญิงเริ่มต้องการการแต่งตัวที่เป็นกฎเป็นเกณฑ์น้อยลง และผู้หญิงเริ่มมีความคิดเป็นอิสระ พวกเธอเริ่มออกกำลังกาย เล่นกีฬา เรียนมหาลัย เข้าทำงาน ฯลฯ จริงๆช่วงนี้เป็นช่วงที่ชุดพร้อมใส่เริ่มมีบทบาทแล้วนะ