นอกจากทาส ผู้ให้ความบันเทิงยุคนั้นถือว่าอยู่ในสถานะต่ำในสังคม พวกกลาดิเอเตอร์ถือว่าเป็นผู้ให้ความบันเทิงระดับต้นๆ เพราะงั้นไม่แปลกที่หญิงชายทั่วโรมจะอยากนอนกับกลาดิเอเตอร์ มีการจ่ายเงินเพื่อเยเย่กับพวกเขา แน่นอนว่าโดนซุบซิบไปสามบ้านแปดบ้าน แต่เขาเท่อะ ใครจะห้ามใจไหว (4)
ลัทธิ Stoics ของโรมไม่มองว่าการร่วมรักเป็นการทำเพื่อความสุขเฉยๆ แต่เป็นการแสดงความเสน่หาเพื่อเชื่อมคนสองคนเข้าด้วยกันและทำให้ครอบครัวมั่นคง กล่าวคือ เป็นความต้องการโดยธรรมชาติแต่ไม่ใช่ความจำเป็น และเชื่อว่าไม่ควรละเมิดสิทธิของแต่ละคน (3)
นี่เกือบจะคนละเรื่อง บางคนไม่ได้เต็มใจก็มี แต่ถ้าว่าคสพ.ชายชายไม่แฟร์แล้ว คสพ.หญิงหญิงนี่คือไปกันใหญ่ เพราะในยุคนั้นผู้หญิงไม่มีสิทธิ์จะเป็นฝ่าย dominant ในความสัมพันธ์ได้เลย ไม่ว่ายังไงก็ต้องมีผู้ชายมาเกี่ยว เพราะถือว่าการสอดใส่ด้วยจู๋คือสัญลักษณ์ของอำนาจ (2)
พูดถึงการรักเพศเดียวกันในโรม สำหรับชายชายคือไม่ได้มีการปิดกั้นก็จริง แต่มันไม่ได้ยุติธรรมค่ะ คนที่จะสามารถมีความสัมพันธ์กับผู้ชายเหมือนกันได้ และยังคงไว้ซึ่งที่ยืนของตัวเอง คือฝ่ายที่เป็น dominant หรือฝ่ายที่เหนือกว่า จะยุ่งเกี่ยวกับทาสกับอะไรด็ได้เลย แต่สถานะของคนในฝ่าย sub- (1)
ชีวิตเซ็กส์และความหงี่ในวันนี้ จะเล่าเรื่องของคนโรมันโบราณให้อ่านกันค่ะ ความแปลก ความโหดร้าย ความ (เหมือนจะ?) เปิดกว้าง และรากฐานบางอย่างที่สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน มาทำความรู้จักอีกแง่มุมนึงของชาวโรมันกันดีกว่า!
วันแรกกกกกก 🇯🇵🤍
a new journey has just officially begun! 🤟🏻 หลังจากรอคอยมานานมาก ในที่สุดก็ได้ทำตามฝันอีกหนึ่งฝันซะที รอบนี้ตั้งใจว่าจะต้องสนุก ใช้ชีวิตให้เต็มที่ แล้วเอาคอนเท้นดีๆมาฝากทุกคนเยอะๆ แล้วเจอกันปีหน้านะคะ 🤍
ยังดู Remember 15 ไม่จบ แต่ดูไปสักพักแอบคิดว่าชื่อตัวละครเรื่องนี้บอกใบ้ว่าใครเป็นคนร้ายตัวจริงหรือเปล่านะ? เพราะชื่อตัวละครน่าสนใจมาก เปโตร: เป็นชื่อนักบุญผู้เป็นพระสันตะปาปาคนแรก เชื่อมโลกมนุษย์กับพระเจ้า อาจจะไม่ใช่คนร้ายก็ได้ (1)
คนที่ทำให้กิจกรรมนี้ป๊อปปูล่าร์คือคนนี้ค่ะ Thomas Pettigrew คือเขาเรียนด้านอียิปต์มาโดยเฉพาะ ถึงจะไม่ใช่คนแรก แต่เป็นคนที่ทำให้มันกลายเป็นโชว์ ด้วยการผสมของสองอย่างที่คนยุควิคตอเรียนคลั่งไคล้ คืออียิปต์ วิทยาศาสตร์ และเรื่องน่ากลัว (6)
ส่วนมากจะจัดกันเป็นแบบปาร์ตี้ไพรเวทค่ะ จัดโดยคนรวยจัดๆที่มีเงินมากพอจะซื้อมัมมี่มา ซึ่งการลักลอบซื้อขายมัมมี่เนี่ยก็เริ่มมีมาตั้งแต่ ศ.ที่ 15 คือจะมีพ่อค้าแอบเอามัมมี่มาขายในยุโรป (5)
นอกจากนี่ยังมีการที่เจ้าของมัมมี่ใส่ของขวัญเล็กๆน้อยๆลงไปในศพก่อนด้วย เพื่อเพิ่มความตื่นเต้นให้กับแขกที่มาดู และทำการแจกของนั้นให้กับคนดู อาจเป็นน้ำหอม เครื่องราง เครื่องเพชรพลอยเล็กๆน้อยๆ หรืออัญมณี เป็นกิมมิคอีกอย่างที่ทำให้คนมาดูตื่นเต้น (3)
ที่มันน่าตื่นเต้นไม่ใช่แค่การแกะผ้าออก แต่คนตื่นเต้นว่าจะได้เห็นอะไรข้างใน อย่างเคสนึงแกะออกมาแล้วพบว่าในหัวศพมีแต่ทราย หรืออีกเคสคือแกะออกมาแล้วศพข้างในผสมรวมกันกับผ้าพันแผลข้างใน จนแยกไม่ออกว่าอันไหนคนอันไหนผ้า คือเหมือนสุ่มกาชานิดๆว่าจะได้เจออะไร คนก็จอยกัน (2)
สถานที่ที่คนรวยนิยมไปเมากันไม่ใช่ทีผับบาร์ แต่เป็น the Royal College of Surgeons ค่ะ แต่โชว์แกะศพเริ่มครั้งแรกในปี 1834 ที่ London anthropology museum  ซึ่งตั๋วขายหมดเกลี้ยง มัมมี่หญิงถูกวางในเครื่องมือที่ทำให้เหมือนเธอกำลังเต้นและยังมีชีวิตอยู่ ขณะค่อยๆแกะผ้าออกจากตัว (1)
ในยุควิคตอเรียนมีกิจกรรมประหลาดๆเต็มไปหมด รู้กันหรือเปล่าคะว่างานอดิเรกนึงของคนรวยยุคนั้นคือการกินเหล้า สังสรรค์ และนั่งดู ”โชว์แกะศพ” เหมือนกับที่เรานั่งดูหนังกันทุกวันนี้เลย!! ซึ่งศพที่แกะคือมัมมี่ เพราะในยุคนั้นคนบ้าคลั่งกันกับเรื่องเกี่ยวกับอียิปต์มากๆ
#แอเรียลควีนดูหนังจิบลิสักทีนะ วันนี้ดู Grave of the fireflies หรือสุสานหิ่งห้อยในตำนาน ใครที่สภาพจิตใจไม่โอเคไม่ควรดูเด็ดขาด หดหู่มากๆ ยิ่งตอกย้ำว่าสงครามไม่เคยทำให้อะไรดีขึ้น หนังพาเราร่วมเอาชีวิตรอดไปกับสองพี่น้อง เป็นตัวละครที่ทำให้เราตกหลุมรักได้ในเวลาสั้นๆเลยโดยเฉพาะน้องสาว
กรี้ดดดดดด Bridgerton ซีซั่นสองมาแล้วทุกคน ลงเน็ตฟลิกซ์แล้วๆๆๆๆ ㅜㅡㅜ แปลงร่างเป็นสาวยุครีเจนซีกันเถอะ
วันก่อนดู Princess and the Frog แล้วอยากไปนิวออร์ลีนส์เลย ; - ; ไม่ใช่อะไร อยากไปกินทุกอย่างที่อยู่ในหนัง เป็นการ์ตูนดิสนีย์อีกเรื่องที่ทำของกินออกมาได้น่าลองมาก เบนเย่เอย ซุปกัมโบ้เอย อาหารเช้าเช่นพวกแพนเค้กอีก เลิ้บบบบบ
สิ่งนี้คือ ‘ขวดใส่น้ำตา’ ในยุควิคตอเรียนล่ะ อย่างที่เคยเล่าว่ายุคนี้จริงจังเรื่องการไว้ทุกข์มาก ขวดพวกนี้เลยเอาไว้เก็บน้ำตาเวลาร้องไห้ถึงคนที่จากไป ถ้าเป็นแม่หม้าย จะพกขวดนี้ไปสุสานในวันครบรอบเสียชีวิต 1 ปี แล้วเทน้ำตาที่เก็บมาตลอดปีลงบนหลุมศพ เพื่อเตือนใจว่าไว้ทุกข์มาปีนึงแล้ว
วันนี้ดูซินเดอเรล่าอีกรอบ ซีนนึงที่ทำให้ใจฟูคือซีนที่พวกหนูกับนกช่วยกันทำชุดให้ยัยซิน ㅜㅡㅜ รู้สึกว่ามันน่ารักมากๆๆเลย ยัยซินคงเป็นคนน่ารักจิตใจดีมาก ถึงมีเจ้าพวกนี้คอยช่วยอยู่เสมอ ทำให้นี่อยากมีหนูกับนกทำชุดให้บ้างเลย ขอฝึกเทรนหนูที่บ้านแปป555555
แล้วตกลงเรามาเริ่มยิ้มตอนถ่ายภาพกันได้ยังไง? ผายมือไปที่ Kodak เลยค่ะ ช่วงนั้นตลาดภาพถ่ายถูกผูกขาดโดยเจ้านี้ เพราะงั้นอิทธิพลของโกดัคคือมีไปรอบโลก มีการเริ่มโยงการถ่ายภาพกับความสุข (เพราะก่อนหน้ามีแต่อะไรซีเรียสๆ ถ่ายกับคนตายงี้) (7)
อย่างที่เคยพูดถึงประเพณีถ่ายภาพกับคนตาย จะเห็นว่าคนตรงกลางภาพชัดมากๆในขณะที่อีกสองคนภาพออกมาเบลอ เป็นเพราะคนตรงกลางคือศพค่ะ ไม่มีชีวิตแล้วจึงขยับไม่ได้และได้ภาพออกมาชัด สมัยนั้นการถ่ายภาพแพงมาก คนจึงเลือกถ่ายในเวลาสำคัญเท่านั้น นั่นคือการถ่ายกับคนที่รักเป็นครั้งสุดท้าย (6)
ค่าการเปิดรับแสงของกล้องสมัยก่อนค่อนข้างนานค่ะ คนที่ถูกถ่ายภาพต้องนั่งเฉยๆเป็นเวลากว่า 15 นาทีเพื่อถ่ายภาพภาพหนึ่ง ซึ่งถ้าเกิดต้องค้างด้วยท่ายิ้มนานขนาดนั้นคือเหงือกแห้งก่อนแน่นอน เลยนิยมหน้านิ่งกันมากกว่า และที่ภาพถ่ายยุคเก่าชอบเบลอ ก็เพราะแค่การขยับนิดเดียวทำให้ภาพเบลอได้ (5)
การยิ้มมากเกินไป ยิ้มกว้างๆ เชื่อมโยงเข้ากับความผิดปกติทางจิตด้วยนะ ก็คือยิ้มเยอะๆจะถูกหาว่าเป็นบ้า หนึ่งในมารยาทของชาววิคตอเรียนคือห้ามยิ้มเยอะค่ะ ห้ามโชว์ความรู้สึกตัวเองเยอะเกินไปด้วย (4)
อีกอย่างนึงก็คือคนในยุคนั้นฟันไม่สวยค่ะ อย่างว่า เรื่องของทันตกรรมมันก็ยังไม่ได้ก้าวหน้าเหมือนปัจจุบัน ถ้าเป็นภาพวาดก็ยังจะปกปิดเรื่องฟันได้ แต่ภาพถ่ายมันจะโชว์ทุกอย่าง คนก็เลยนิยมปิดปากกันเวลาโดนถ่ายภาพค่ะ (3)
สมัยก่อนแทนที่จะพูดว่า “ชีส” (Say Cheese!) เวลาถ่ายภาพ เขาจะนิยมบอกว่าให้พูดว่า “ลูกพรุน” (Prunes) แทน เพื่อปากจะได้ดูเล็กๆ เพราะในยุควิคตอเรียน เทรนปากเล็กกำลังมา แล้วก็ท่าทางสงบสเงี่ยมเหนียมอายคือมารยาทที่เหมาะสม (2)