ตอบการ์ตูนไปแล้ว งั้นขอเป็น live-action movie แทนนะคะ 🥺🤍 1) Aladdin: 10 10 10 ดีมากแบบดีจริงๆ เพลง speechless ยังคงตาตรึง 2) Cinderella: underrated มากกก เราว่าทำออกมาได้ดีมากเลยนะ ลิลลี่ เจมส์ก็สมกับเป็นยัยซินมากเลย 3) Maleficent: แม่ทูนหัวกับยัยอัปลักษณ์ ;-; twitter.com/lapinneige/sta…
เวลาไปมิวเซียมหรือนิทรรศการศิลปะนี่ชอบค่อยๆเดิน อ่านคำอธิบายภาพแต่ละภาพ เพราะในคำอธิบายจะมีเกร็ดเล็กๆน้อยๆเกี่ยวกับภาพให้ได้รู้ พอรู้แล้วก็ยิ่งอินกับมันมากขึ้นไปอีก เฮ้อ ให้อยู่ทั้งวันก็อยู่ได้
พรุ่งนี้จะได้ไปดูนิทรรศกาล European paintings จาก Metropolitan Museum of Art ที่นำมาจัดแสดงที่โตเกียว คือตื่นเต้นมาก มีหลายรูปที่อยากเห็นด้วยตาตัวเองมานาน มูฟเม้นศิลปะช่วงเรเนสซองส์น่าสนใจมาก การเปลี่ยนผ่านจากยุคกลาง เพิ่มความสมจริงกับภาพวาด โอ้ย เตรียมมาเล่าให้ฟังเลยค่ะ ㅜㅡㅜ
สิ่งที่ป๊อปปูล่าร์ (กับเหล่าคนมีเงิน) ก็คงไม่พ้นเพชรนิลจินดาค่ะ ที่ดังๆยุคนี้ก็มี Marcus & Co. และ Tiffany & Co., โดยมาในรูปแบบของมงกุฎ สร้อยคอ นาฬิกา ต่างหู กำไล ฯลฯ สำหรับภรรยาที่สามีไปหาสาวๆขายบริการ หลายคนก็ไม่แคร์ค่ะ ชั้นมีเพชร ชั้นอยู่ได้ (8)
ส่วนมากคนก็ทานอาหารกันในร้านหรือในบ้าน แต่เพื่อความเว่อร์ จึงมีการทานอาหารกันบนหลังม้าด้วยค่ะ!! มันจะเป็นไปได้ยังไง แต่คนรวยยุคนี้ทำได้ค่ะ ซึ่งแม้แต่ม้าก็ยังจะได้กินของดีๆ เพื่อเป็นการโชว์ความรวยของคนที่ขี่มันด้วย (7)
คนยุคนี้ชอบโชว์ความรวยของตัวเอง ทางที่จะโชว์ได้คือการใส่ชุดเว่อๆให้ได้มากที่สุดและมีคนใช้ให้เยอะที่สุด ยิ่งคนใช้มีงานเฉพาะแต่ละคนมากเท่าไหร่ยิ่งดี ทำให้คนรวยยุคนั้นเปลี่ยนชุดบ่อยมาก วันนึงอย่างน้อย 4-5 ชุด ผ้าปูก็ต้องเปลี่ยน 2 ครั้งต่อวัน ในขณะที่คนจนไม่มีแม้แต่เครื่องซักผ้า (6)
ยุคนั้นการขายบริการถูกกฎหมายค่ะ ซึ่งผู้ชายมีอำนาจทั้งหลายก็มักแวะใช้บริการ และสถานที่ขายบริการก็มีแบบแฟนซี ว่ากันว่ามีบริการที่สุดโต่งถึงขั้นที่ว่าพี่น้องของหญิงที่ขายบริการถึงกับต้องหลีกหนีไม่คุยด้วยเลยทีเดียว (5)
ไม่พูดถึงร้านอาหารหรูก็ไม่ได้ ถ้าเป็นยุคนี้ ร้านที่คนรวยนิยมไปก็ไม่พ้น Delmonico’s ที่นิวยอร์ค ซึ่งว่ากันว่าอาหารที่เสิร์ฟเป็นคอร์สไปเรื่อยๆ เริ่มตั้งแต่ตอนเย็นไปจนถึงเช้ามืดวัดถัดไปเลยทีเดียว ร้านนี้ยังมีอยู่ที่นิวยอร์คในปัจจุบันด้วยนะคะ (4)
ยุคนี้มีคฤหาส์นที่ห้องน้ำทำมาจากทองแท้ล้วนๆด้วยค่ะ นั่งอึบนทองที่แท้ อยู่ในบ้านของ Robber Baron ทั้งอ่างอาบน้ำ ทั้งโถส้วม เรียกได้ว่านั่งอึนั่งฉี่บนกองทองที่แท้ ในปัจจุบันยังอยู่นะคะ และเป็นที่เดียวในอเมริกาด้วยที่มีห้องน้ำทองคำ (3)
คนรวยยุคนั้นเงินเหลือจนไม่รู้จะใช้ทำอะไร เลยมีการจัดปาร์ตี้แต่งตัวขึ้นบ่อยมาก เพราะเป็นการอวยรวยได้แล้วหนึ่ง อีกอย่างก็เพื่อใช้เงินไปกับอะไรก็ได้ที่จะได้ใช้แล้วทิ้ง เช่นเสื้อผ้า พร็อพ ถ้าถามว่าเว่อร์ขนาดไหน ลองดูในภาพได้เลยค่ะ (2)
คนรวยยุคนั้นไม่สนสี่สนแปดอะไรทั้งนั้นค่ะ มีเทรนอย่างนึงคือการใช้ขนนกกระยางหิมะในการแต่งตัว เพราะถือว่าเก๋ สง่างาม หรูหรา โดยต้องเป็นตัวเมียที่อยู่ในฤดูผสมพันธุ์เท่านั้น เป็นสาเหตุที่ทำให้นกชนิดนี้เกือบสูญพันธ์เลยทีเดียว (1)
#MetGala ปีนี้มีความเกี่ยวข้องกับ Gilded Age หรือยุคทองชุบของอเมริกา (ช่วงเวลาคาบเกี่ยวยุควิคตอเรียนของอังกฤษ) ซึ่งคนรวยจัดๆยุคนี้มีเพียงหยิบมือ เลยเป็นที่มาของคำว่า ‘คนรวยมีเพียง 1% ของประเทศ’ แต่ถามว่ารวยขนาดไหน เธรดนี้จะมาเล่าความเว่อวังของคนรวยยุคนี้ให้อ่านกันค่ะ
#MetGala ชุดนี้ของ Billie Ellish ได้แรงบันดาลใจมาจากภาพของมาดาม Paul Poirson โดยจิตรกรยุค Gilded Age ชื่อ John Singer Sargent โดยว่ากันว่าเขาวาดให้มาดามภรรยาของเจ้าของสตูดิโอที่เขาเช่าแทนค่าเช่า ปังมาก เหมียนมากค่ะ
At the beginning (เพลงจบ Anastasia) เป็นเพลงที่อยากเปิดในงานแต่งงานที่สุดเลย ความหมายเพลงดีมาก จะอยู่ตรงนั้นแม้โลกหยุดหมุน จะอยู่ตรงนั้นเมื่อพายุพัดผ่าน ในตอนท้ายที่สุดฉันก็อยากจะยืนอยู่ที่จุดเริ่มต้นกับเธอ :🤍)
Vlog ญี่ปุ่นคลิปแรกของแอเรียลควีนมาแล้วค่าาาา 🥺🤍 พาทุกคนไปทัวร์ดิสนีย์สโตร์สาขาใหม่ล่าสุดที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น!!! บวกกับพาไปเดินเล่นโตเกียวสกายทรีกับเทศกาลดอกไม้ ใครคิดถึงญี่ปุ่นแวะมาดูกันได้นะคะ 🔆 youtu.be/pnLXyQ0kr6U
แต่ชาวบริเทนทำให้เอ็กซ์ตร้าไปอีกด้วยการเปลี่ยนเป็นกองคุ้กกี้ ขนมปังเครื่องเทศ และสโคน นำมาทำเป็นหอคอยของหวานให้คู่บ่าวสาวจูบกันผ่านกองนั้นให้ได้ และต่อมาในศ.ที่ 17 ก็เริ่มมีเค้กแต่งงานครั้งแรกเกิดขึ้น แล้วก็ต่อๆมาจนในปัจจุบันนั่นเอง (12)
• ทำไมต้องมีเค้กแต่งงาน? มาจากโรมันโบราณค่ะ ชาวโรมันทานเค้กรูปร่างคล้ายสโคนที่ทำมาจากแป้งหรือข้าวบาร์เล่ย์ ที่สามารถโรยบนหัวเจ้าสาวได้ เพื่อความโชคดี และคู่บ่าวสาวจะกินเศษเค้กนั้นด้วยกัน ถือว่าเป็นจุดเริ่มของการดองกันเป็นหนึ่ง และพอโรมันยึดบริเทนได้ ประเพณีนี้ก็แพร่ไปด้วย (11)
จริงๆก่อนหน้าควีน ก็มีเจ้าสาวที่ใส่ชุดสีขาวอยู่เหมือนกัน เพื่อโชว์ฐานะความร่ำรวย และโชว์ว่าครอบครัวสามารถซื้อชุดที่ดูสะอาด (เพราะเป็นสีขาว) ได้ (10)
• ทำไมชุดแต่งงานถึงสีขาว ส่งตรงจากยุควิคตอเรียน โดยพิธีแต่งงานของควีนวิคตอเรียในปี 1841 ค่ะ ก่อนหน้านั้น เป็นธรรมเนียมที่ชุดเจ้าสาวจะเป็นสีสว่างสดใสที่สามารถใส่ในโอกาสอื่นได้ด้วย แต่ควีนวิคตอเรียใส่ชุดสีขาวเพื่อโชว์ดีเทลลูกไม้สวยๆ และมันก็เริ่มเป็นที่นิยมนั่นเอง (9)
• ทำไมต้องมีแหวนแต่งงานทรงกลม มาจากอียิปต์โบราณค่ะ พวกเขาเชื่อว่าวงกลมคือสัญลักษณ์แห่งชั่วนิรันดร์ ซึ่งก็เหมือนกับการแต่งงาน ยุคนั้นจะเอาหญ้ารี้ดมาถักเป็นแหวนและใส่นิ้วนางข้างซ้าย เพราะเชื่อว่านิ้วนั้นมีเส้นเลือดต่อตรงสู่หัวใจ (งุ้ย 🥺) (8)
• ทำไมเจ้าสาวต้องยืนฝั่งซ้ายมือของเจ้าบ่าว? สืบเนื่องมาจากข้อตะกี้ที่ว่าอาจมีการต่อสู้เกิดขึ้น ที่เจ้าสาวต้องยืนฝั่งซ้ายเพราะในกรณีที่มีการบุกเข้ามาของคนประสงค์ร้าย เจ้าบ่าวจะได้ชักดาบด้วยมือขวาได้ทันทีและสู้ได้ทันที (ใครถนัดซ้ายก็ซวยไปนะ555555) (7)
•ทำไมต้องมีเพื่อนเจ้าบ่าว? สมัยก่อนมีหลายกรณีที่ชายอื่นจะลักพาตัวเจ้าสาวไปวันแต่งงาน เพื่อป้องกัน เจ้าบ่าวและเพื่อนๆต้องเตรียมตัวหากมีการสู้กัน (โดยใช้ดาบ) เกิดขึ้น เพื่อนเจ้าบ่าวจึงมีเพื่อสิ่งนี้ โดยจะเลือกคนที่ใช้ดาบเก่งที่สุด เพื่อคอยเป็นบอดี้การ์ดตลอดงาน (6)
สิ่งนี้เป็นกฎหมายของชาวโรมันเลยค่ะ เจ้าสาวต้องมีเพื่อนสิบคนมางาน ที่แต่งตัวสีเดียวกัน เพื่อทำให้วิญญาณร้ายที่อยากทำลายคู่บ่าวสาวสับสนนั่นเอง (5)
•ทำไมเพื่อนเจ้าสาวถึงใส่ชุดเหมือนกันหมด? ย้อนไปถึงโรมันโบราณและจีนโบราณเลยค่ะ เป็นการทำเพื่อความปลอดภัยของเจ้าสาว ในยุคก่อน เจ้าสาวต้องเดินทางไกลเพื่อไปหาเจ้าบ่าวที่เมืองอื่น ซึ่งระหว่างทางเธออาจถูกโจมตีโดยโจรหรือชายอื่น จึงมีการให้เพื่อนใส่ชุดเหมือนกันจะได้แยกกันไม่ออก (4)
• ประโยค “tie the knot” (แปลตรงตัวว่าผูกปม) ทำไมถึงหมายถึงการแต่งงาน? ประโยคนี้ย้อนไปในยุคกลางเช่นกัน ชาวเซลติกโบราณมีประเพณีผูกผ้าให้เป็นปมเชื่อมข้อมือของบ่าวสาวเข้าด้วยกันในขณะกล่าวคำสาบาน ซึ่งในปัจจุบันก็ยังมีการทำอยู่ และจะต้องทำในสถานที่เปิด ท่ามกลางธรรมชาติ (3)