ถ้าไปดิสนีย์ซีหลายคนคงอยากไปปราสาทแอเรียลกัน แต่อาจยังไม่รู้ว่าในนั้นมีโซนเจ๋งๆเยอะมาก ไม่ได้มีแค่เครื่องเล่นเด็ก อย่างอันนี้คือจะเป็นถ้ำมืดๆที่ให้เราไปยืนทำท่าอะไรก็ได้ แล้วมันจะถ่ายภาพเงาของเราออกมา สนุกมาก แถมได้รูปสวยๆด้วย เธรดนี้จะมาแชร์โซนลับของดิสนีย์ซีให้อ่านค่ะ🧜🏻‍♀️ twitter.com/i/web/status/1…
โซนซูโทเปียที่กำลังก่องสร้างที่ Shanghai Disneyland ตอนนี้ตึกงอกขึ้นมาแล้ว 🥹 น่ารักโคตรเลย เหมือนหลุดออกมาจากในหนังเป๊ะ เสร็จแล้วต้องอลังการมากแน่ๆ อยากไปเที่ยวซูโทเปีย!
โซนทอยสตอรี่ที่ดิสนีย์ซีตอนกลางคืนคือสวยที่สุด 🤍
เซ็ตฮาโลวีนที่มีขายแค่ที่ดิสนีย์ซีช่วงฮาโลวีนเท่านั้น!! ฟินมากกกก 🎃🤍 • จานหลักสามารถเลือกได้ว่าจะเป็นสเต็กเนื้อทอด 🥩 หรือพาสต้าทะเลซอสมะเขือเทศ 🍝 • ซุปฟักทอง 🥣 • ขนมปัง 🍞 • ของหวานเป็นมูสเค้กถั่วซอสบลูเบอร์รี่ 🍰 twitter.com/i/web/status/1…
Finishing school ในปัจจุบันไม่ได้จำกัดแค่เพศหญิงเท่านั้น แต่ไม่ว่าเพศไหนก็สามารถเรียนได้ และโรงเรียนจะเน้นไปที่การเพิ่มความมั่นใจ รู้จักมารยาททางธุรกิจและทางสังคม เพิ่มสกิลการนำเสนองานและพูดในที่สาธารณะ ฯลฯ ซึ่งก็นับว่ามีประโยชน์มากๆสำหรับทุกเพศเลยค่ะ (9)
ถามว่าในปัจจุบันยังมี Finishing School อยู่ไหม? หลังจากมูฟเม้นท์เฟมินิสต์ลูกที่สองในช่วง 1960s ซึ่งทำให้สังคมตระหนักรู้ว่าผู้หญิงไม่จำเป็นจะต้องเรียนแต่มารยาททางสังคมเท่านั้น พวกเธอจะเรียนอะไรก็ได้ และได้เปลี่ยนมุมมองสถานะในสังคมของผู้หญิง รร.เหล่านี้ก็เริ่มหายไป (8)
และนี่คือตัวอย่างของหน้าที่อุปกรณ์ต่างๆบนโต๊ะอาหาร รวมไปถึงวิธีวางส้อมกับมีดเพื่อสื่อสารกับพนักงานโดยไม่ต้องพูด นอกจากนี้ เวลาดื่มชาห้ามยกนิ้วก้อย และเวลาดื่มแชมเปญต้องถือที่ก้นแก้วและ ‘เอียง’ แก้วนิดหน่อยเวลาจะดื่มเท่านั้น (6)
ประเทศที่โด่งดังที่สุดในเรื่องของ Finishing School ต้องยกให้สวิตเซอร์แลนด์ มีทั้งเจ้าหญิงจากประเทศต่างๆ ดารานักแสดงอีลีท หรือคนที่มีหน้ามีตาในสังคม (ภาพที่นำมาให้ดูคือรร.ในปัจจุบัน แต่ก็ไม่ใช่ Finishing School กันแล้ว) (3)
สาวๆชนชั้นสูงสมัยก่อนจะมี gap year หลังจากที่เรียนจบ grammar school จนถึงก่อนแต่งงาน (อายุประมาณ 13-15 ปี) ซึ่งจะเป็นช่วงที่ทางบ้านจะส่งพวกเธอไปเรียนที่ Finishing School แต่ก็มีบางบ้านที่ไม่ได้ส่งลูกสาวเรียนที่ grammar school และใช้วิธีจ้างครูส่วนตัวมาสอนที่บ้านแทน (2)
ก่อนอื่น Finishing School กับ Charm School ต่างกันยังไง? สำหรับ Charm School นั้น สาวๆคนไหนก็ไปเรียนได้ไม่ว่าจะยากดีมีจน และคอร์สเรียนจะระยะสั้น ส่วน Finishing School จะเป็นคอร์สระยะยาว เป็นโรงเรียนประจำ และคนที่เข้าเรียนได้มีแต่หญิงจากชนชั้นสูงเท่านั้น (1)
บาร์บี้โรงเรียนบริหารเสน่ห์เจ้าหญิง (Princess Charm School) เป็นหนึ่งในภาคโปรดของนี่เลย 👸🏼 รู้กันหรือเปล่าคะว่าโรงเรียนแบบนี้ก็มีอยู่จริงด้วย!! เธรดนี้จะพามารู้จัก Finishing School และ Charm School ที่เลดี้ทั้งหลายเข้าเรียนว่าเป็นยังไง สอนอะไรกันบ้างนะ?
กฎอีกหนึ่งที่สำคัญคือ ห้ามแตะตัวสมาชิกในราชวงศ์ค่ะ ถ้าจะทักทายต้องโค้งคำนับหรือถอนสายบัวเท่านั้น แต่ในปี 2014 เคท มิทเดิลตันได้ถ่ายรูปคู่กับนักบาส NBA ที่ชื่อ LeBron James โดยเขาได้โอบเอวชีเคท ทำให้ชาวบ้านที่อินกับราชวงศ์ซุบซิบกันใหญ่ (14)
รัชทายาท 2 คนห้ามเดินทางไปที่ไกลๆด้วยกันค่ะ เพื่อแน่ใจว่ารัชทายาทที่มีสิทธิ์ในบัลลังก์จะปลอดภัยอย่างน้อยไม่คนใดก็คนหนึ่ง เช่น ถ้าต้องเดินทางไปประเทศเดียวกันก็ต้องบินคนละไฟลท์ แต่เจ้าชายวิลเลียมก็ได้แหกกฎไปเรียบร้อยในปี 2014 ที่เอาลูกชาย (เจ้าชายจอร์จ) ขึ้นเครื่องไปด้วยกัน (13)
คนในราชวงศ์ไม่สามารถแต่งงานกับคนจากนิกายโรมันคาทอลิคได้ กฎนี้บังคับใช้จนถึงปี 2013 ค่ะ ซึ่งกฎนี้มาจากความตึงเครียดระหว่าง Anglican Church และ Catholic Church และทางฝั่งราชวงศ์อังกฤษนับถือ Anglican มานาน ทำให้มีกฎแบบนี้ แต่ก็ถูกยกเลิกไปแล้ว (12)
ไม่ว่าจะเดินทางไปที่ไหนไกลๆ ก็ต้องเตรียมชุดดำไปด้วยเสมอ ทั้งนี้เพื่อเป็นการเตรียมตัวล่วงหน้าค่ะ เตรียมตัวเผื่อสมาชิกในราชวงศ์เสีย หรือบุคคลสำคัญในประเทศที่ไปเยี่ยมเยียนเสีย ก็จะมีชุดเตรียมไว้สำหรับไว้ทุกข์ ประเพณีที่จริงจังกับการไว้ทุกข์ก็มีมาตั้งแต่ยุควิคตอเรียนเลย (11)
ราชวงศ์อังกฤษจะไม่กิน shellfish (สัตว์ทะเลที่มีเปลือก) กันค่ะ เพราะเชื่อว่าอาหารประเภทนี้จะทำให้เกิดอาการอาหารเป็นพิษมากกว่าชนิดอื่น พวกเขาจะต้องเข้าร่วมงานสังคมบ่อยๆ คงน่าอายถ้าอยู่ๆต้องวิ่งเข้าห้องน้ำ นอกจากนี้ยังระวังพวกเนื้อไม่สุก หรือน้ำดื่มเวลาอยู่ต่างประเทศด้วยนะ (10)
บทสนทนาบนโต๊ะอาหารจะถูกวางไว้แล้ว ในช่วงคอร์สแรกของมื้อ ควีนจะคุยกับคนที่นั่งอยู่ทางขวาของตัวเอง เพราะลำดับที่นั่งนั้นถือเป็นของแขกผู้มีเกียรติ ส่วนคอร์สที่สองก็จะคุยกับคนที่นั่งทางด้านซ้าย และคนในราชวงศ์ก็ทำตามกฎนี้เช่นกัน เพื่อให้บทสนทนาบนโต๊ะอาหารไหลลื่น (9)
ไม่ใช่กฎจริงจัง แต่เป็นธรรมเนียมที่ทำสืบต่อกันมานานตั้งแต่ยุควิคตอเรียน นั่นคือช่อดอกไม้งานแต่งต้องมีพืช myrtle อยู่ด้วยเสมอ เพราะพืชชนิดนี้เป็นของขวัญจากเยอรมนีที่ย่าของเจ้าชายอัลเบิร์ตมอบให้ควีนวิคตอเรีย และควีนก็ใช้ในวันแต่งงานด้วย (8)
เป็นที่รู้กันว่าควีนวิคตอเรียนกินเร็วมากกกก กล่าวไว้ว่าสามารถกินอาหาร 7 คอร์สเสร็จได้ภายในครึ่งชั่วโมง ซึ่งสำหรับผู้ร่วมโต๊ะนี่คือคงปาดเหงื่อกันล่ะ เหมือนอยู่ในงานแข่งกินก็ไม่ปาน55555 (7)
กฎบนโต๊ะอาหารมีประมาณร้อยแปดพันอย่าง เดี๋ยวจะมาทำเธรดแยกเจาะลึกค่ะ วันนี้เอานำจิ้มไปก่อน55555 แต่กฎอย่างนึงที่ผู้ร่วมโต๊ะกับควีนต้องจำขึ้นใจคือ เมื่อใดก็ตามที่ควีนหยุดกินแล้ว คุณต้องหยุดกินเช่นกัน ซึ่งกฎนี้มีมาย้อนไปตั้งแต่ยุควิคตอเรียน (6)
กระเป๋าที่ควีนถือมีประโยชน์มากกว่าการใช้ใส่สิ่งของ เชื่อกันว่าควีนจะใช้กระเป๋านี้เพื่อส่งข้อความลับ เช่น ถ้าเอากระเป๋าวางลงบนโต๊ะอาหารเย็น แปลว่าต้องการให้อีเว้นท์อะไรก็ตามที่กำลังเกิดขึ้นอยู่จบใน 5 นาที หรือ วางกระเป๋าบนพื้น แปลว่าไม่โอเคกับบทสนทนาตอนนี้ ต้องพาออกไปจากตรงนี้ (5)
หลังจาก 6 โมงเย็น หญิงที่ใส่หมวกจะต้องเปลี่ยนไปใส่มงกุฎแทนเสมอเวลาออกงานสาธารณะ ซึ่งประเพณีนี้ก็มีที่มาตั้งแต่สมัยก่อน โดยสำหรับผู้หญิงจะเป็นการโชว์สถานะของเธอ ชี้ว่าเธอแต่งงานแล้วและไม่ได้มองหาสามี (4)
สิ่งนึงที่เป็นสิ่งต้องห้ามในวังบัคกิ้งแฮมคือกระเทียม เพราะควีนลิซซี่ไม่ชอบกระเทียมเป็นอย่างมาก ถึงจะเป็นแค่ข่าวลือ แต่ก็ถูกยืนยันโดยเชฟในวังมาแล้ว โดยกล่าวไว้ว่าจะเสิร์ฟกระเทียมหรือหัวหอม (ที่เยอะไป) ไม่ได้ รวมถึงเนื้อที่แรร์ (ไม่ค่อยสุก) ด้วย (3)
อีกหนึ่งที่ไม่จริงจังแต่ก็รู้กันว่าห้าม นั่นคือ “ห้ามเล่นเกมเศรษฐี” โดยเจ้าชายแอนดรูว์เคยให้สัมภาษณ์ว่า พวกเราเล่นเกมเกมเศรษฐีที่บ้านไม่ได้ เพราะมันจะกลายเป็นอะไรที่ร้ายกาจ” (สงสัยว่าเกมที่คนในครอบครัวแข่งกันแย่งที่ดินและเงินทองจะคลับคล้ายคลับคลากับที่บ้าน… 🤫) (2)