ภาษาที่ใช้พูดในประเทศจีน และแบ่งตามพื้นที่ต่างๆ
การแต่งหน้าของสาวๆหลักๆประกอบไปด้วย 3 อย่างคือ รองพื้น แป้ง และ rouge (เครื่องสำอางที่ใช้กับปากและแก้ม เป็นสีออกแดงๆ) เพื่อช่วยปกปิดผิวแห้งกร้าน กระ สิว หรือรอยแผลเป็น และทำให้ผิวเรียบสวยเหมือนเครื่องเคลือบ ซึ่งเทรนนี้มาจากยุคก่อนปฏิวัติฝรั่งเศสจากในวังเลย (1)
นอกจากจะมีตะกั่วบนหน้า ลิปสติกที่นางใช้ก็ทำมาจากสารพิษ มีส่วนผสมของ cinnabar เป็นแร่พิษที่ผสมปรอท ถึงมันจะทำให้พระนางปากแดงสวย แต่ทุกครั้งที่ทานอะไรเข้าไป สารพิษจากลิปก็เข้าสู่ร่างกายด้วย ซึ่งผลที่ตามมาคือความจำเสื่อม อารมณ์ฉุนเฉียว และซึมเศร้า ซึ่งนางก็ประสบในบั้นปลายชีวิต (2)
คนรวยยุคนั้นไม่สนสี่สนแปดอะไรทั้งนั้นค่ะ มีเทรนอย่างนึงคือการใช้ขนนกกระยางหิมะในการแต่งตัว เพราะถือว่าเก๋ สง่างาม หรูหรา โดยต้องเป็นตัวเมียที่อยู่ในฤดูผสมพันธุ์เท่านั้น เป็นสาเหตุที่ทำให้นกชนิดนี้เกือบสูญพันธ์เลยทีเดียว (1)
โอโมะ ตั๋ว Lightyear ของ SF สวยมากกก น่าเก็บที่สุด ㅜㅡㅜ เฉพาะสมาชิก SF+ เท่านั้นนะทุกคน แลกได้จนถึงวันที่ 29 มิถุนาเลย สวยจริงๆๆๆ ทั้งหน้าทั้งหลัง อย่าลืมไปดูกัน!!!
หลังจากรับแขกเสร็จ สาวๆจะกลับไปที่ห้องของตัวเองเพื่อแต่งตัวเตรียมสำหรับมื้อเย็น ซึ่งก็นับเป็นเวลาส่วนตัวเล็กๆอีกหนึ่งที่สาวๆจะได้จัดผม รีเฟรชตัวเอง และเปลี่ยนเสื้อผ้า ซึ่งกิจกรรมตอนเย็นนั้นมีตั้งแต่มื้อเย็นกับที่บ้านจนไปถึงปาร์ตี้ มื้อใหญ่ ที่ลากยาวไปจนถึงเช้า (6)
ร้านแรกที่จะพุ่งไปกินถ้าได้ไปญี่ปุ่นคือร้านซูชิที่อากิฮาบาระ อยู่ตรงหน้าสถานีเลย อร่อยมากแบบแสงออกปาก ซูชิหน้ากุ้งท้อปด้วยชีสกับซอสเพสโต้คือเดอะเบส ㅜㅡㅜ
ที่ประเทศจีนช่วงปี 536 มีปรากฎการณ์เถ้าสีเหลืองประหลาดร่วงลงมาจากฟ้า ซึ่งไม่มีบันทึกว่าคืออะไร แต่สามารถกอบกำได้เต็มมือ ถัดมาก็ยังมีหิมะตกในฤดูร้อน ซึ่งทำให้เพาะปลูกไม่ขึ้น และประชาชนล้มตายเพราะอดอยากถึง 70-80% เหตุการณ์คล้ายกันเกิดขึ้นในเมโสโปเตเมีย บันทึกว่า ‘หนาวจนนกตาย’ (4)
• The Little Mermaid ที่หลายคนรู้จัก สตอรี่ต้นฉบับที่ดิสนีย์นำมาดัดแปลง จริงๆแล้วมีความโหดร้ายปะปนอยู่ในเรื่องด้วย อย่างเช่น เงือกสาวที่ขอแลกหางกับขาเพื่อไปชนะใจเจ้าชาย สุดท้ายเจ้าชายก็ไปแต่งงานกับผู้หญิงคนอื่น เธอจึงจะต้องกลายเป็นฟองทะเลไปในที่สุด แต่! (1)
เทรนผิวขาวเริ่มไฮป์กันจากยุคของควีนอลิซาเบธค่ะ แต่ไม่ใช่ขาวธรรมดา มันคือขาวซีดเลย เพราะยุคนั้นปัญหาผิวหน้าเยอะมาก เป็นผลมาจากโรค เรียได้ว่าใครหน้าขาวกระจ่าง = สวยปังแล้ว จึงมีการใช้ Ceruse (ผงตะกั่วขาวผสมน้ำส้มสายชู) ทาหน้า และใช้ vermilion (จากปรอท) เพื่อให้ปากแดงแก้มแดง (3)
รีวิวร้านอาหารไทยข้างหอ พอให้หายคิดถึงอาหารไทยได้บ้าง ㅜㅡㅜ ติดตรงที่เขาทำไม่เผ็ดเลย น่าจะให้คนญี่ปุ่นกินง่าย แต่อร่อยมาก ทุกเมนูกินกับข้าวร้อนๆคือสวรรค์ ชอบผัดผงกะหรี่ที่เท็กซ์เจอร์ออกครีมๆ แปลกใหม่ดี555555
มีสิ่งนี้มานำเสนอสำหรับใครที่ชอบบราวนี่แบบเรา 🥺 มันดีย์มากกกกก มีทั้งแบบกรอบแล้วก็แบบเป็นแท่งนิ่มๆ แบบกรอบคือเคี้ยวเพลินมาก แต่ส่วนตัวเราเลิฟบราวนี่นิ่มๆ แบบแท่งตอบโจทย์สุด หนึบมาก เข้มข้นด้วย เจ้านี้เขามาหลายรสด้วยนะ ชาเขียวก็จึ้ง แครนเบอร์รี่ก็จึ้ง แนะนำจริงๆๆๆ
การเอาศพออกมาจากบ้าน ต้องเอาเท้าออกก่อนหัวค่ะ เพราะเชื่อว่าถ้าเอาหัวออกก่อน คนตายอาจใช้โอกาสนี้เรียกให้หนึ่งในญาติสนิทของตัวเองตามไปโลกหน้าด้วย (16)
ชุดของสาวๆในแวร์ซายคือต้องเว่อต้องเป๊ะตลอดเวลา ชุดจะทำมาจากผ้าไหมชั้นดี กำมะหยี่ หรือผ้าลูกไม้ ทรวงทรงต้องเอวเอส หน้าอกเต่งตึง แต่พอมารี อ็องตัวเนตต์มีภาพวาดตัวเองใส่ชุดสบายๆ ไม่เว่อวัง ก็เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงในแฟชั่น กลายเป็นชุดเบาๆ สีขาว ทำจากผ้ามัสลิน (10)
🍳 ไข่: มีไข่กว่า 40,000 ใบบนไททานิค! โดยผู้โดยสารชั้นหนึ่งจะได้ทานไข่ดาว ไข่อบ ไข่ต้ม สำหรับมื้อเช้า และเมนูพิเศษ Egg à l'Argenteuil (ไข่คนและแอสปารากัส) สำหรับกลางวัน ส่วนชั้นสองและชั้นสามจะได้ทานไข่ดาวและแฮมย่างสำหรับอาหารเช้าค่ะ (3)
นอกจากวัณโรค ยังมีโรค ‘พิษสุนัขบ้า’ ด้วยค่ะที่เป็นส่วนนึงในการสร้างตำนานแวมไพร์ โดยมาจากพฤติกรรมการกัดของมนุษย์และสัตว์ที่ส่งต่อโรคติดต่อนี้ ทำให้เกิดความเชื่อว่าแวมไพร์กัดใคร คนนั้นก็จะกลายเป็นแวมไพร์ ไหนจะอาการแพ้แสงแพ้กลิ่นก็เช่นกัน รวมไปถึงการมองไม่เห็นตัวเองในกระจกด้วย (7)
แน่นอนว่าถ้าไปขึ้นเครื่องบินยุคนั้น เราจะเจอแต่คนขาวเต็มไปหมด เพราะราคาตั๋วที่แพง และความต่างของฐานะระหว่างคนขาวและคนผิวสี รวมถึงสมัยนั้นบางสายการบินมีการใช้โอเปอเรเตอร์รับสายการจองตั๋วที่จะแยกแยะสำเนียงคนขาวกับคนดำ ถ้าคนดำโทรมาก็จะแยกให้ไปอีกไฟล์ทนึง 😕 (12)
โรคพิษสุนัขบ้านี้สามารถพบในสัตว์ได้ด้วย ทำให้คนโยงไปถึงความสามารถของแวมไพร์ว่าสามารถเปลี่ยนร่างเป็นสัตว์ได้ค่ะ อย่างตำนานแวมไพร์ของ Bram Stoker เขียนไว้ว่าแวมไพร์เปลี่ยนร่างเป็นหมาป่าได้ บางตำนานก็ว่าเปลี่ยนเป็นสุนัขได้ (9)
อีกที่คือปราสาทบาปวน นครวัด กัมพูชา ซึ่งที่แห่งนี้ตั้งอยู่บนทราย ซึ่งก็ไม่มีใครรู้ว่าที่สร้างปราสาทบนทรายนี้ด้วยความบังเอิญ หรือตั้งใจจะไม่ให้มีใครเข้าไปได้กันแน่ เพราะเมื่อมีคนพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงโครงสร้างมันแค่นิดเดียว มันก็จมลงในทรายและหายไปอยู่ช่วงนึงในหน้าประวัติศาสตร์ (9)
ทั้งนี้นี่ก็เป็นเพียงการวิเคราะห์อีกอย่างนึง จริงหรือไม่ก็ไม่มีใครรู้ค่ะ แต่เราว่าก็น่าสนใจดีที่มีคนคิดแบบนี้ ขอบคุณที่แวะมาอ่านนะคะ! เหมือนเคย วันนี้มีอรค.เล่าเรื่องทางสตอรี่ไอจี (กลับมาแล้ว5555) แวะมาถามคำถาม รอฟัง หรือย้อนฟังได้ที่ instagram.com/mimie.starr เลยค่า 🤍
The Prince and the Pauper เขียนโดย Mark Twain ค่ะ เซตติ้งของเรื่องอยู่ในปี 1547 ในประเทศอังกฤษ โดยตัวเอกของเรื่องคือเด็กหนุ่มสองคนที่เกิดวันเดียวกันและมีหน้าตาเหมือนกันเป๊ะ คนนึงชื่อ Tom Canty เป็นเด็กยากไร้ที่อาศัยอยู่กับพ่อที่ชอบใช้ความรุนแรง และเจ้าชาย Edward IV (2)
สิ่งหนึ่งที่นักโบราณคดีค้นพบจากการสร้างสถานการณ์จำลองด้วยโปรแกรมสามมิติ ก็คือชาวปอมเปอีแทบทุกคนฟันสวยมากกกกก เชื่อว่าเป็นผลมาจากการกินของดีๆ (ปอมเปอีอุดมไปด้วยผักและผลไม้) รวมไปถึงการที่มีธาตุฟลูออรีนมากในบริเวณรอบๆภูเขาไฟด้วย (3)
หมวกแหลมๆสูงๆ พวกเธอใส่เพื่อให้ตัวเองโดดเด่นในตลาด ลูกค้าจะได้สังเกตง่ายๆ ส่วนเบียร์ก็ถูกผสมในหม้อสีดำ ส่วนแมวดำพวกเธอมักเลี้ยงไว้จับหนู ส่วนไม้กวาดก็มีความเกี่ยวข้อง พวกเธอจะวางไม้กวาดไว้หน้าร้านเพื่อบอกให้ลูกค้ารู้ว่าเบียร์พร้อมขายแล้ว และมันก็เป็นสัญลักษณ์ของแม่มดอีกหนึ่ง (7)
สำหรับสาวๆโดยเฉพาะที่ไม่ค่อยมีเงิน ไม่ได้มีอาชีพที่เปิดกว้างให้พวกเธอขนาดนั้น โอกาสอะไรก็มีน้อย บางคนก็ไม่มีทางเลือก (8)
อย่างที่บอกว่ามันมืดมากๆ ซึ่งพอมืด ทุกอย่างก็พินาศ เพราะเพาะปลูกไม่ขึ้นเลย อุณหภูมิโลกลดลงประมาณ 1.6-2.5 องศา ทำให้อารยธรรมต่างๆรอบโลกลำบากกับการผลิตอาหารเพื่อการอยู่รอด ซึ่งความขาดแคลนนี้กระจายตัวจากยุโรปไปถึงเอเชีย รวมกับภูเขาไฟระเบิด ยิ่งทำให้อากาศแย่ลง (3)