โฮล์มส์ใช้เงินที่ได้รับจากการโกงค่าประกันมาสร้างโรงแรม “ปราสาทฆาตรกรรม” เป็นโรงแรม 3 ชั้น ภายในมีทั้งห้องรมแก๊ส ประตูกับดัก ห้องลับ โถงทางเดินเขาวงกต รางลาดเชื่อมสู่ห้องใต้ดิน (ที่เอาไว้ทิ้งศพ) ห้องที่มีปืนพ่นไฟ ห้องแขวนคอ และเสียงเตือนติดตั้งไว้แต่ละชั้นถ้ามีใครขยับไปไหน (6)
เธรดนี้จะมารวบรวมทฤษฎีสมคบคิดแฟนคลับ (fan theory) เกี่ยวกับ “สิ่งมีชีวิตในตำนาน/ ของวิเศษ” ต่างๆในการ์ตูนดิสนีย์ให้อ่านกันค่ะ มีหลายอันกาวมาก แต่หลายอันก็น่าสนใจมากเช่นกัน ✨ เริ่มแรก: จริงๆแล้วในมู่หลาน ที่มูชูปลุกมังกรหินไม่ได้ เพราะมังกรหินอยู่ในตัวมู่หลานตั้งแต่แรก! (มีต่อ)
และมีหัวมังกรบนตู้ใส่ชุดเกราะ ตอนที่ตามังกรลุกวาวและบรรพบุรุษถูกปลุกให้ตื่น ไม่ใช่เพราะมังกรจะเตือน แต่เพราะมันคือวิญญาณผู้ปกป้องตระกูลของมู่หลานต่างหากที่ตื่นขึ้นมาแล้ว ที่มูชูปลุกมังกรหินไม่ได้เพราะในนั้นไม่มีมังกร แต่มู่หลานนั่นแหละคือมังกรที่จะปกป้องวงศ์ตระกูล (3)
: ถ้ำมหัศจรรย์ในอาละดินเป็นคำขอสุดท้ายของผู้ถือครองตะเกียงคนล่าสุด เจ้าของตะเกียงก่อนอาละดินอาจขอพร 3 ข้อไว้ดังนี้ 1) ขอให้ตัวเองมีเงินรวยล้นฟ้าชนิดที่ใช้ในชาตินี้ไม่หมด (ทำให้ในถ้ำมีสมบัติเยอะมาก) 2) ขอให้ตัวเองสามารถเดินทางไปไหนก็ได้ (จึงมีพรมวิเศษ) (4)
3) และเขาอยากจะให้คนที่ได้ตะเกียงคนถัดไปเป็นคนที่มีคุณค่ามากพอ จึงขอให้หลังจากเขาตาย สมบัติของเขาทั้งหมดและตะเกียงถูกเก็บเอาไว้ รอจนกว่าจะมีคนที่เป็น “เพชรในตม” คนที่เหมาะสมมารับต่อไป (5)
: รูปภาพของอสูรแก่ขึ้นไปตามอายุจริงๆของอสูร ถ้านับแล้ว อสูรอาจถูกสาปในช่วงอายุ 10-14 ปี แต่ทำไมภาพของอสูรถึงดูมีอายุมากกว่านั้น? รูปนี้อาจเป็นรูปต้องสาปที่จะโชว์ให้อสูรเห็นตัวเองที่แก่ขึ้นเรื่อยๆ เพื่อย้ำเตือนถึงบทลงโทษถึงความผิดพลาดที่ได้ก่อ และได้เห็นสภาพตัวเองถ้ายังเป็นคน (6)
: รูปปั้นหินการ์กอยล์ที่มีชีวิตเป็นเพียงจินตนาการของควอซิโมโด เพราะควอซี่ถูกขังบนหอระฆังตั้งแต่เกิด อยู่ลำพังมาตลอด อาจไม่แปลกที่เขามโนให้รูปปั้นสามตัวนี้มีชีวิต เพราะตลอดเรื่องเราได้เห็นการ์กอยล์มีบทแค่เวลาคุยกับควอซี่ และพวกเขาไม่ได้มาช่วยควอซี่ในเวลาอื่นเลยด้วย (7)
: ที่ทิงเกอร์เบลขี้หวง เพราะนางฟ้าคนอื่นในจักรวาลปีเตอร์แพนตายหมดแล้ว นิสัยของทิงก์ในปีเตอร์แพนกับหนังของตัวเองค่อนข้างต่างกัน และที่เธอกลายเป็นคนหวงเพื่อนนั้นอาจเพราะมีเหตุการณ์บางอย่างทำให้ชาวแฟรี่สูญสิ้น เหลือแต่เธอคนเดียว เธอจึงหวงปีเตอร์ที่เป็นเพื่อนคนสุดท้ายของเธอเอง (10)
: โอลาฟถูกสร้างขึ้นจากสิ่งที่เอลซ่าอยากเห็นตัวเองเป็น โอลาฟมีความพิเศษกว่าอย่างอื่นที่เอลซ่าสร้าง ทั้งพูดได้ มีชีวิตจิตใจ บางทีนี่อาจเป็นตัวแทนของสิ่งที่เอลซ่าอยากเป็น นั่นคือเป็นเพื่อนที่น่ารัก สมาชิกครอบครัวที่อบอุ่น ผู้ให้คำแนะนำ— ทุกอย่างที่เอลซ่าคิดว่าตัวเองคงเป็นไม่ได้(11)
มาค่ะ เธรดนี้จะมารวมมุมถ่ายรูปที่คัดมาแล้วว่าสวย จึ้ง สองร้อยเปอร์เซ็นต์ ใน Tokyo Disneysea จากการไปเกือบ 20 รอบ ✨
การนั่งเครื่องบินในยุคทองของการบินต่างจากในปัจจุบันมาก แม้จะค่อนข้างอันตราย แต่ในเรื่องความสะดวกสบายและหรูหรานี่ไม่เป็นรองใคร สมัยนั้นการจะบินไปต่างประเทศไม่ต้องไปรอที่สนามบินหลายชั่วโมง ไปก่อนบินแค่ 20 นาทีก็พอ! เธรดนี้จะเล่าให้อ่านค่ะว่าถ้าขึ้นเครื่องบินในยุคนั้นต้องเจออะไรบ้าง
ถึงช่วงนี้ตั๋วเครื่องบินจะแพง แต่ช่วงก่อนโควิดเราก็สามารถหาตั๋วถูกๆได้ไม่ยาก แต่ในยุคทองของการบิน ตัวเลือกค่อนข้างจำกัดและแพง ตั๋วบินข้ามรัฐที่เมกาบางไฟลท์ราคาสูงถึง 40,000 บาทในปัจจุบัน ถ้าไฟลท์ต่างประเทศยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย (1)
เพราะการบินในยุคนั้นถือเป็นประสบการณ์สุดหรู ก็จะต้องแต่งตัวให้ดีเพื่อให้เข้ากับสถานที่ สูทสามชิ้นกับหมวกสำหรับผู้ชาย เดรส, ส้นสูง, เครื่องประดับชั้นดีสำหรับผู้หญิง และประเพณีนี้ลากยาวมาจนถึง 1980s ที่คนเริ่มจะแต่งตัวยังไงก็ได้ (2)
สมัยนั้นยังไม่มี security checkpoint ที่เราต้องเอากระเป๋าไปสแกน ไอดีก็ไม่ต้องใช้ ทำให้เราสามารถไปที่สนามบินแค่ 20-30 นาทีก่อนเครื่องออกได้ แล้วก็เดินขึ้นเครื่องไปเลย ครอบครัวเพื่อนฝูงสามารถเดินไปส่งถึงหน้าประตูได้เลย ดูชิวใช่ไหมดี แต่! (3)
เพราะไม่มีการตรวจตราใดๆ การปล้นเครื่องบินหรือเคสที่บังคับให้นักบินขับเครื่องบินไปที่อื่นก็มีอยู่ให้เห็น ทำให้ในช่วงปี 1960s มีเครื่องบินหลายลำถูกปล้นในแต่ละปี ทำให้การเดินทางด้วยเครื่องบินค่อนข้างไม่ปลอดภัย (4)
ในช่วง 1950s ที่ไม่มีชั้นประหยัดหรือชั้นธุรกิจ ทุกที่นั่งบนเครื่องหรูหราหมาเห่า ได้รับบริการทุกระดับประทับใจเท่ากัน แม้บางสายการบินจะมีเฟิร์สคลาส (ซึ่งที่นั่งจะเหมือนห้องในโรงแรม) แต่ผู้โดยสารทุกคนมีที่สำหรับยืดขาได้สบายๆ (เหมือนชั้นธุรกิจในปัจจุบัน) (5)
แอร์เองก็เช่นกัน กฎการแต่งตัวคือ dress to impress ทุกคนต้องใส่รองเท้าส้นสูง (จนกว่าเครื่องจะขึ้น) ใส่ถุงมือ หรือบางทีต้องใส่คอร์เซ็ตใต้ชุดด้วยซ้ำ! ทั้งยังมีข้อกำหนดว่าแอร์ต้องผมยาวไม่เกินเท่าไหร่ หนักไม่เกินเท่าไหร่ และควรจะเป็นสาวโสดที่พูดเก่งแต่ต้องรักษาแสตนดาร์ดไว้ด้วย (6)
โมเดลเครื่องบินโดยสารในยุคนั้นจะส่งเสียงเยอะมาก มีการตกร่องอากาศบ่อยๆ และตัวเครื่องเลี่ยงอากาศแย่ๆไม่ได้ ยิ่งเครื่องยนต์ใหญ่ ก็ยิ่งยากที่จะจัดการกระแสอากาศปั่นป่วน ทำให้ถุงอ้วกบนเครื่องเป็นสิ่งจำเป็นมาก (7)
และบางทริปก็มีการเดินทางมากกว่า 1 ไฟล์ท อาจมีการเปลี่ยนเครื่องบิน 4-5 ลำกว่าจะย้ายจากฟากหนึ่งของเมกาไปอีกฟากหนึ่ง ยิ่งเดินทางต่างประเทศยิ่งไม่ต้องพูดถึง (8)
สมัยนั้นบนเครื่องยังไม่มีทีวี ทำให้ผู้โดยสารมักจะนั่งคุยกับคนข้างๆไม่ก็มองไปนอกหน้าต่าง แต่ก็มีกิจกรรมนึงที่สายการบินมี นั่นคือมอบโปสการ์ดให้ผู้โดยสารเขียน โดยสามารถส่งได้หลังจากลงจากเครื่องแล้ว รวมไปถึงเสิร์ฟแอลกอฮอลล์ฟรีตลอดทาง ทำให้มีหลายคนที่เมาหลังจากลงจากเครื่องแล้ว (9)
อาหารบนเครื่องคือสิ่งที่ทุกคนตั้งตารอ เพราะสายการบินจะเสิร์ฟแต่ของชั้นดีเท่านั้น ในยุคนั้นมีทั้งล็อบสเตอร์ เนื้ออบ หรือซี่โครงย่าง รวมไปถึงค็อกเทลหลากชนิด และยังมีทั้งสก็อตช์ แชมเปญ บรั่นดี ซึ่งก็เป็นข้อดี (?) ของการบินเพราะผู้โดยสารที่เมามักจะเครียดเรื่องเสียงดังน้อยลง (10)
ถ้าสนใจจะมาทำเธรดของกินสุดหรูบนสายการบินในยุคทองของการบินให้อ่านนะคะ ใครสนใจเมนชั่นบอกมาได้เลย 🥰🤍
การสูบบุหรี่บนเครื่องบินสามารถทำได้ ทั้งไปป์และซิการ์ก็ได้หมด กลายเป็นว่าในสนามบินต่างหากที่ห้ามสูบบุหรี่เพราะกลัวว่าควันจากบุหรี่จะจุดชนวนไฟให้กับน้ำมันเครื่อง (11)
แน่นอนว่าถ้าไปขึ้นเครื่องบินยุคนั้น เราจะเจอแต่คนขาวเต็มไปหมด เพราะราคาตั๋วที่แพง และความต่างของฐานะระหว่างคนขาวและคนผิวสี รวมถึงสมัยนั้นบางสายการบินมีการใช้โอเปอเรเตอร์รับสายการจองตั๋วที่จะแยกแยะสำเนียงคนขาวกับคนดำ ถ้าคนดำโทรมาก็จะแยกให้ไปอีกไฟล์ทนึง 😕 (12)
ก่อนจะมีระบบสายพานลำเลียงกระเป๋า กระเป๋าทุกใบถูกย้ายด้วยมือ แปลว่าผู้โดยสารต้องไปที่เคาท์เตอร์ โชว์ตั๋ว และให้ทิปตอนที่ตัวเองได้กระเป๋าแล้ว ซึ่งใช้เวลาค่อนข้างนานเพราะบางคนก็มีกระเป๋าหลายใบ สมัยนั้นยังไม่มีกำหนดจำนวนกระเป๋าที่ผู้โดยสารสามารถนำไปได้ (13)