วันนี้จะมาเล่าเรื่องการเข้าส้วมของชาวโรมันโบราณให้อ่านกันค่ะ ดูจะธรรมดา แต่มันทำให้เราเรียนรู้เกี่ยวกับอารยธรรมนี้ได้หลากหลายมุมมองเลย ใครว่าการปลดทุกข์เป็นเรื่องเล็ก มาอ่านกันแล้วจะรู้ว่ามันไม่เล็กเลยสำหรับเมื่อก่อน ถ้าเป็นชาวโรมันเราจะใช้ชีวิตอยู่ได้มั้ยนะ?
ชาวโรมันคือผู้ริเริ่มระบบสุขาภิบาลสาธารณะค่ะ แต่ก่อนหน้าจะมีระบบประปา พวกเขาขับถ่ายกันตามที่สะดวกและตามใจต้องการ บางทีก็ใช้หม้อ บางทีแค่หาจุดลับๆแล้วก็ปล่อยโครมตรงนั้นเลย ทำให้เชื่อกันว่าอย่าเดินในเมืองตอนกลางคืนไม่งั้นอาจเหยียบกองทัพอึ๊ได้ (1)
ที่โรงอาบน้ำ Titus ในโรมถึงกับมีข้อความเขียนไว้เลยว่า ‘ถ้าใครอึหรือฉี่ที่นี่ เทพเจ้าทั้งสิบสองรวมไปถึงซุสผู้ยิ่งใหญ่จะพิโรธ’ 55555555 เคลมถึงเทพกันเลยทีเดียว ห้ามอึนะไม่งั้นเทพโกรธ (2)
ห้องน้ำสาธารณะมักจะเชื่อมกับระบบท่อน้ำเสียของโรม ซึ่งก็เป็นตัวขับพวกของเสียจากร่างกายมนุษย์ที่ถูกปล่อยออกมา แต่จริงๆจุดประสงค์ของระบบท่อน้ำเสียคือป้องการปัญหาน้ำท่วมนั่นเอง (3)
ชาวโรมันที่มีฐานะมักจะมีห้องส้วมอยู่ในบ้านค่ะ ก็โชคดีไป แต่มันจะไม่ได้เชื่อมต่อกับระบบท่อน้ำเสียหลัก เหมือนจะเป็นหลุมเฉยๆที่ต้องจัดการด้วยการนำไปทิ้งอีกทีนอกเมืองหรือในสวน ส่วนมากห้องส้วมจะอยู่ใกล้ห้องครัวเพื่อจะได้สะดวกในการเอาเศษขยะไปทิ้งด้วยกัน (4)
ถ้าใช้ส้วมสาธารณะในโรม จะมีสิ่งที่เรียกว่า xylospongium หรือฟองน้ำที่ติดอยู่กับไม้เพื่อทำความสะอาดก้น และแน่นอน ใช้ร่วมกันทั้งเมืองค่ะ 😬 ซึ่งก็มีการออกแบบส้วมให้มีที่สำหรับเสียบไม้นี้ได้ และมีรางน้ำที่เชื่อว่าเอาไว้ให้คนทำความสะอาดเจ้าไม้นี้เมื่อทำธุระเสร็จ (6)
ชาวโรมันไม่มีคำว่าอายเมื่อพูดถึงการเข้าส้วม ซึ่งหน้าตาของส้วมสาธารณะส่วนใหญ่คือจะนั่งกันแบบในภาพ มีระยะห่างไม่กี่เซนเท่านั้น (7)
นักโบราณคดีเชื่อว่าแถวเข้าส้วมยาวมากๆ เพราะดูจากที่มีกราฟิตี้บนผนังห้องน้ำเยอะแยะ (ถ้าให้เทียบก็เหมือนการเขียนผนังห้องน้ำในยุคปัจจุบัน) ตัวอย่างเช่น: ‘เหล่าผู้อึและฉี่ ขอให้ทุกอย่างเรียบร้อย คุณจะได้ออกไปจากที่นี่ซะที (รอนานแล้วโว้ย)’ ‘แพทย์แห่งจักรพรรดิ Titus เคยอึที่นี้’ (9)
มีกฎหมายโรมันว่าด้วยของเสียจากมนุษย์ต้องนำไปทิ้งนอกเมือง ที่ซึ่งไว้เป็นปุ๋ยสำหรับพืช ซึ่งตามหลักแล้วของเสียต้องหมักอยู่หลายเดือนก่อนจะนำมาใช้เป็นปุ๋ยได้ แต่ชาวโรมันไม่รู้ เอาไปทำปุ๋ยเลย (โถ่!!) เป็นผลให้พืชเจือปนเชื้อโรคจากของเสียนั่นเอง (10)
ห้องน้ำสาธารณะอันตรายมากค่ะ ทั้งอาจมีสัตว์พาหะพยาธิมุดออกมา ทั้งเป็นแหล่งสะสมแก๊สมีเทนที่อาจทำให้เกิดไฟลุกในส้วม อาจเพราะการเข้าส้วมทุกวันคือชาเล้นจ์ ทำให้ส้วมสาธารณะหลายที่มีแท่นบูชา Fortuna หรือเทพแห่งโชค เพื่อปัดเป่าอันตรายที่อาจะเกิดขึ้นจากการขับถ่าย (11)
แล้วถ้าเป็นเมนส์ล่ะจะทำยังไง? สาวๆจะใช้ผ้าอนามัยแบบสอดที่ทำมาจากขนสัตว์หรือขนแกะ ที่นำไปจุ่มสารที่ผสมไปด้วยฝิ่น น้ำมันอัลมอนด์ น้ำผึ้งต้ม หอมทะเล และไขกระดูกวัว (12)
ประวัติศาสตร์หนังโป๊กันสักหน่อย มนุษย์นี่ก็ใช้ได้ ทันทีที่มีเทคโนโลยีภาพยนตร์ก็มีคนผลิตหนังโป๊ออกมาเลยนะเหวย55555 ผายมือไปที่ฝรั่งเศสค่ะ เจ้าแรกแห่งวงการ มีการเซนเซอร์มาเรื่อยๆจนพี่เดนมาร์กเป็นที่แรกที่ยกเลิกการเซนเซอร์ และยอมรับหนังโป๊ที่โจ๊ะพรึมพรึมกันแบบเห็นหมดทุกอย่างด้วยนะ
ฟุตเทจหนังโป๊ (วิดีโอโป๊) อันแรกของโลกที่ยังหลงเหลือหลักฐานอยู่ค่ะ จากเรื่อง Le Coucher de la Mariée (1896) เป็นซีนที่ตัวละครถอดเสื้อผ้าโดยมีคนยืนมองอยู่ คือก็ไม่ได้เห็นอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน แต่ก็นับว่าเป็นสื่อโป๊ยุคแรกๆ อย่างที่บอก พอมนุษย์เริ่มอัดวิดีโอได้ก็เริ่มเลอ5555 twitter.com/arielqueenss/s…
ปราสาทของยัยราพันเซลน่าอยู่มากกก ดูแต่ละห้องสิ ฮือ ชอบตรงที่บนหอคอยมีสตูดิโอวาดภาพของราพันเซล แล้วข้างบนห้องน้องคือห้องดูดาวที่มีกล้องไว้ส่องดาวและโคมลอยฟ้า ดีจังนะเจ้าหญิงตัวแสบ 🥺☀️
ถ้าใครเคยเห็นภาพวาดแนวนี่ สังเกตกันไหมคะว่าเขาต้องวาดหน้าเด็กเบบี๋ออกมาให้เหมือนผู้ใหญ่ บางทีคือหน้าแก่กว่าผู้ใหญ่ในรูปอีก มีความหลอนเบา แกทำเพื่อใคร 😬 จะมาเล่าความลับของศิลปะภาพวาดเบบี๋จากช่วงยุคกลางให้อ่านกันค่ะ
เริ่มแรกเลยคือภาพของพระเยซูวัยเด็ก ทุกภาพจะหน้าเหมือนชายโตเต็มวัยหมด สิ่งนี้มาจากความเชื่อของศาสนาคริสต์ค่ะ ในสมัยนั้นคือเชื่อว่าพระคริสต์อยู่ในรูปร่างที่สมบูรณ์ และเป็นหนุ่มตลอดไม่เปลี่ยนแปลง จึงต้องวาดให้ดูเป็นผู้ใหญ่แม้จะเป็นภาพวาดวัยเด็กก็ตาม (1)
ในยุคกลาง การสั่งวาดภาพส่วนตัวค่อนข้างหายากค่ะ ส่วนมากจะเป็นโบสถ์ที่สั่ง ทำให้ภาพวาดสมัยนั้นวนๆเวียนๆอยู่กับเด็กจากพระคัมภีร์ ซึ่งก็รวมถึงพระเยซูวัยเด็กด้วย เพราะงั้นถ้ามีรูปวาดเด็กคนอื่นๆ เด็กก็ได้รับอิทธิพลมาจากการวาดเด็กเบบี๋แบบพระเยซูนี่แหละ (2)
สไตล์ศิลปะยุคกลางจะเน้นไปที่ expressioionistic มากกว่า realistic กล่าวคือ ศิลปินไม่ได้สนใจความสมจริง แต่จะสนใจการถ่ายทอดออกมาตามวิถีการวาดที่ทำกันในสมัยนั้น อย่างที่บอกว่าส่วนมากภาพจะวาดเกี่ยวกับศาสนามากกว่าชีวิตประจำวัน กฎเกณฑ์ศิลปะก็จะเอียงไปทางที่โบสถ์ต้องการ (3)
อีกหนึ่งทฤษฎีเชื่อว่าคนสมัยก่อนไม่ได้มองเด็กทารกแบบที่เรามองในปัจจุบัน เชื่อว่าเด็ก = ผู้ใหญ่เต็มวัย ตั้งแต่อายุ 7 ปี ซึ่งสอดคล้องกับโบสถ์ที่มองว่าอายุ 7 ปี คือ age of reason หรือเป็นช่วงอายุที่คนเราเริ่มรับผิดชอบบาปของตัวเอง เลยถ่ายทอดเด็กออกมาให้เป็นผู้ใหญ่ (4)
อัตราการเสียชีวิตของเด็กสมัยยุคกลางมีเยอะมาก ประมาณไว้ว่า 25% ของเด็กทารกอยู่ไม่ถึงวันเกิดครบรอบ 1 ขวบของตัวเอง อีก 12 % เสียชีวิตขณะอายุเพียง 1-4 ขวบเท่านั้น การถ่ายทอดเด็กในภาพวาดให้ออกมาแบบนี้อาจสื่อถึงความหวังของผู้ปกครองที่อยากให้ลูกของตนแข็งแรง มีชีวิตรอด (5)
มีหลายภาพที่เบบี้จีซัสแข็งแกร่งถึงขั้นมีซิกแพ็คด้วย ทฤษฎีนึงเชื่อว่าศิลปินจงใจวาดแบบนั้นเพื่อให้เป็นแบบอย่างแก่เด็กๆยุคกลางที่ได้มาเห็นภาพวาด แบบว่าให้หุ่นดีมีกล้ามอะไรแบบนี้ (6)
ไม่ใช่แค่ภาพเบบี้จีซัสนะคะ แต่ศิลปะยุคกลาง (ยาวไปถึงเรเนซองส์) วาดเด็กจากราชวงศ์ให้เป็นผู้ใหญ่กันด้วย ไม่ได้ต้องการเน้นไปที่ความเด็กแต่เน้นไปที่อำนาจที่สามารถเป็นเจ้าคนได้ จึงใส่ฟีเจอร์ที่จะสื่อให้ดูสามารถเป็นผู้นำในอนาคตได้ลงไปในเด็ก (7)
นอกจากนี้ยังวาดออกมาแบบนี้เพื่อประโยชน์ในการคลุมถุงชนด้วยนะ สมัยก่อนจะจับคู่กันเขาทำกันยังไง? ก็ส่งรูปวาดให้ดูกันไปเลยสิคะ ให้ดูหน้าลูกดิชั้นล่วงหน้าสิบปีเลย โตมาก็หน้าแบบนี้แหละ จองกันตั้งแต่ยังเดินไม่ได้ (8)
อีกหนี่งความเชื่อแปลกๆจากยุคกลาง เชื่อว่าการผสมพันธุ์และยีนส์ไม่ได้เกี่ยวกับการตั้งครรภ์ แต่เด็ก (ที่โตเต็มตัวแล้ว) จะอยู่ในท้องแม่ และแค่ต้องใช้เชื้อบางอย่างของพ่อเพื่อกระตุ้นให้ปฏิกิริยาเคมีบางอย่างทำงาน เพราะงั้นเด็กในภาพวาดก็เลยหน้าแก่ได้ เพราะโตเต็มวัยตั้งแต่ในท้องแล้ว (9)
แล้วมาเริ่มเปลี่ยนตอนไหนล่ะ? ในยุคเรเนซองส์ เริ่มมีชนชั้นกลางเกิดขึ้น ซึ่งก็เป็นกลุ่มคนที่มีเงิน สามารถสั่งวาดภาพได้เอง (ไม่ใช่แค่โบสถ์แล้ว) ซึ่งพวกเขาก็อยากได้ภาพลูกที่ไม่ได้หัวล้านหน้าแก่ จึงเริ่มมีเทรนด์ศิลปะใหม่ที่ต่างไปจากเดิม เบบี๋เลยเริ่มเหมือนจริงมากขึ้น (10)