น่ารักมาก น้องในคลิปมาจากประเทศแถบละตินอเมริกาที่พูดภาษาสเปน ละน้องได้เจอเจ้าหญิงเอเลน่า (เจ้าหญิงละติน่าคนแรกของดิสนีย์) ซึ่งเจ้าหญิงก็พูดภาษาสเปนกับน้องและน้องก็เข้าใจสิ่งที่เธอพูด 🥺 ไม่ใช่ทุกคนจะเข้าใจภาษาอังกฤษ พอเจอตลค.ที่เป็นตัวแทนเราแล้วเขาสื่อสารกะเราได้ก็ชวนให้ใจฟูเนอะ
เผื่อใครนึกไม่ออกหรือไม่รู้จัก นี่ค่ะเจ้าหญิงเอเลน่าจากเรื่อง Elena of Avalor
หลายๆคนน่าจะเคยดูซีรีส์ Bridgerton กันมาแล้ว เซตติ้งของเรื่องคือยุครีเจนซี (Regency era) ของประเทศอังกฤษ ไหนๆซีซั่นสองก็กำลังจะมา เธรดนี้เราเลยอยากมาพูดถึงความ ‘รีเจนซี’ ที่ตัวซีรีส์ซีซั่นแรกได้นำเสนอให้เราดูกันค่ะ ไม่สปอยล์เนื้อหาสำคัญ ใครอยากรู้เรื่องปวศ.ก็อ่านได้นะคะ 🤍
ควีนชาร์ล็อตต์ที่เราเห็นในเรื่องเป็นนักแสดงคนดำ ซึ่งจริงๆแล้วก็มีนักประวัติศาสตร์ถกเถียงกันอยู่เรื่องต้นตระกูลของพระนางค่ะ โดยเชื่อว่าเป็น biracial (คนผิวขาวและผิวดำ) เพราะบรรพบุรุษของนางมีชาวแอฟริกันผิวดำอยู่จากราชวงศ์โปรตุเกสในช่วงศ.ที่ 13 (1)
แต่หลายๆคนก็ไม่ซื้อเคลมนี้ เพราะถึงจะเป็นงั้นจริงแต่ควีนชาร์ล็อตต์ก็ห่างจากบรรพบุรุษคนนั้นหลายช่วงศตวรรษเลย (ยุครีเจนซีคือช่วงศ.ที่ 19) จึงกล่าวว่ามาจากหลักฐานโดยเรื่องเล่าเสียมากกว่าหลักฐานจริงๆ (2)
หลายๆคนน่าจะจำเลดี้วิสเซิลดาว์นกันได้ ที่เขียนเรื่องข่าวซุบซิบข่าวฉาวให้บรรดาผู้ดีทั้งหลายได้อ่าน จริงๆในยุคนั้นมีอะไรแบบนี้เยอะมากค่ะ ทั้งการ์ตูนล้อเลียน บทกวีหยาบคาย แม็กกาซีน ทั้งยังมีคนใช้มันเป็นช่องทางแบล็คเมลล์คนอื่นด้วย! (3)
ตัวอย่างก็คือในปี 1809 โสเภณีชั้นสูงอย่าง Mary Anne Clarke พยายามจะเผยแพร่เรื่องของการที่ตัวเองเป็นภรรยาน้อยของดยุคแห่งยอร์ค หลังจากที่เขาทิ้งเธอ แม้เลดี้วิสเซิลดาว์นจะไม่มีจริง แต่ก็มี Mrs. Crackenthorpe ที่ได้ชื่อว่าเป็นหญิงผู้รู้ทุกสิ่งและคอยเขียนข่าวซุบซิบในยุครีเจนซี(4)
‘ฤดู’ ในซีรีส์ ไม่ใช่ฤดูอากาศ แต่เป็นฤดูหาคู่ค่ะ นั่นคือช่วงเดือนกุมภาถึงมิถุนา คนชั้นสูงจากทั่วอังกฤษจะเดินทางมาในเมืองเพื่อร่วมงานเลี้ยง ปาร์ตี้ ซึ่งก็เป็นการหาคู่ที่เหมาะสมให้ลูกๆของตัวเอง เราเรียกมันว่า ‘ตลาดงานแต่ง’ ค่ะ (Marriage Market ไม่มีภาษาไทย ขอคิดคำเรียกเลยละกัน) (5)
ตลาดงานแต่งมันก็เหมือนกับธุรกิจอย่างนึง ซึ่งถือเป็นการผลิตซ้ำความร่ำรวย ทำให้คนระดับเดียวกันแต่งงานกันเอง ความรวยก็จะวนอยู่แต่กับพวกของตัวเอง (6)
ซีนแรกของตอนแรกที่เปิดตัวสาวๆต่อหน้าควีนชาร์ล็อตต์ เรียกได้ว่าเป็นการเดบิ้วต์ตัวเองในสังคมลอนดอนก็ได้ค่ะ โดยจะมีการถูกเรียกชื่อ ถอนสายบัวให้กับควีน เป็นการอยู่ในสปอตไลท์แบบจัดๆเลย ซึ่งจริงๆแล้วสถานการ์ณน่ากดดันและชวนอึดอัดมากๆ ไหนจะต้องแต่งชุดจัดเต็มอีก (7)
ลูกชายคนโตของตระกูล Bridgerton ตกหลุมรักนักร้องโอเปร่าสาวสวย แต่จริงๆในยุคนั้นสาวๆที่แสดงบนเวที บางครั้งจะโดนมองว่าเป็นหญิงชื่อเสียงไม่ดีค่ะ เพราะจะมีความคิดมองว่าพวกเธอเป็นโสเภณี เพราะงั้นพวกผู้ชายรวยๆก็มักจะเก็บพวกเธอไว้เป็นภรรยาน้อยค่ะ แต่งงานด้วยไม่ได้ (8)
ซีรีส์พูดถึง Gretna Green เป็นที่ที่คอลิน บริเจอร์ตันบอกมารินา ธอมป์สันว่าจะหนีไปแต่งงานกันที่นั่น ความจริงแล้วสถานที่นั้น ณ สก็อตแลนด์ เป็นที่ที่คนหนีไปแต่งงานกันเยอะมาก เพราะในอังกฤษ ตามกฎหมายการแต่งงานต้องรอโบสถ์เป็นอาทิตย์ แต่ไม่ใช่ที่สก็อตแลนด์ และตรงนั้นก็เป็นชายแดนพอดี(9)
Vauxhall Gardens ซึ่งเป็นที่ที่ดาฟนีกับไซม่อนตกลงจะหลอกผู้คนว่าพวกเขาคือคู่กัน จริงๆเป็นสถานที่ที่มีจริง และเรียกมันว่าเป็นสวนแห่งความเริงรมย์สำหรับผู้ดีรีเจนซี ซึ่งมันเปิดให้กับทุกคนที่มีเงินจ่ายค่าเข้า แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีการแบ่งชนชั้นเกิดขึ้นในงานอยู่ดี (10)
พวกผู้ดีรู้กันว่าทุกคนให้ความสนใจกันและกันอยู่ตลอดเวลา เพราะงั้นกิจกรรมทางสังคมในช่วง ‘ฤดู’ เนี่ย เป็นโอกาสทองที่จะได้เห็นคนอื่นและถูกคนอื่นเห็น จึงใช้โอกาสต่างๆโชว์ความเก๋และเส้นสายของตัวเอง คู่รักก็มักจะชอบเดินด้วยกัน รู้ทั้งรู้ว่าโดนเม้าแน่ แต่ทำไงได้ ก็อยากเป็นจุดสนใจอะ (11)
ร้าน Gunter’s Tea Shop ที่ดาฟนีกับไซม่อนเจอกัน จริงๆเป็นร้านที่มีอยู่จริงด้วยค่ะ และเป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงและเป็นที่นิยมของพวกผู้ดีมากๆ โดยร้านตั้งอยู่ที่ Berkeley Square ซึ่งเป็นย่านเก๋ไก๋ และร้านก็ดังเรื่องไอศครีมมากๆ เคยได้จัดอาหารให้กับอีเว้นท์ของพวกผู้ดีอีกด้วย (12)
ในซีรีส์จะเห็นว่าเรื่องฉาวของสาวๆเป็นเรื่องใหญ่มาก นั่นเพราะถ้าเป็นผู้ชายก็ลอยตัวเหนือปัญหาได้ แต่สาวๆต้องปฏิบัติตามกฎของสังคม จะออกไปไหนก็ต้องมีคนคอยติดตาม ต้องประพฤติตัวดีวางตัวดี ไม่งั้นพวกเธออาจจะขายไม่ออกและไม่ได้คู่จากตลาดงานแต่ง (13)
Happy New Year 2022 ทุกคนด้วยภาพอียอร์ยิ้มค่ะ 🤍 น้องเป็นตัวละครที่เศร้าอยู่ตลอดเวลา เพราะงั้นการที่น้องยิ้มได้คือภาพที่หายากมากๆ อยากให้ทุกคนยิ้มได้แบบอียอร์ในทุกๆวันของปีนี้ ไม่ว่าจะยิ้มได้กว้างๆหรือยิ้มได้นิดหน่อยก็ตาม ขอให้เป็นปีที่มีแต่อะไรดีๆรออยู่นะคะ :-)
หลายๆคนน่าจะคุ้นเคยกับ Alice in Wonderland กันเป็นอย่างดี มีเอามาทำทั้งการ์ตูน หนัง เกมส์ แต่จริงๆแล้วรู้กันหรือไม่ว่าอลิสตัวจริงที่เชื่อว่าเป็นต้นแบบ คือเด็กสาววัย 11 ปีที่คนเขียนอาจมีความสัมพันธ์บางอย่างด้วย เธรดนี้จะมาเล่าเรื่องของอลิสและคนคนนั้นให้อ่านค่ะ (tw: pedophilia)
คนเขียนคือ Charles Lutwidge Dodgson หรือ Lewis Carroll นักเขียนชาวอังกฤษ และเด็กสาวต้นแบบคือ Alice Liddell ค่ะ ในวันที่ 25 เมษายน 1856 ดอดจ์สันวัย 24 ปีพบกับอลิสและพี่น้องของเธอในขณะที่พวกเธอเล่นกันอยู่ในสวน เขาได้เขียนลงในไดอารี่ว่าวันนั้นคือวันสำคัญที่พิเศษมาก (1)
ดอดจ์สันเป็นช่างภาพด้วย และเขาก็ถ่ายภาพให้กับโบสถ์ เด็กๆที่สนใจกล้องและเทคโนโลยีการถ่ายภาพก็เข้ามาคุยด้วย จากนั้นครอบครัวของอลิสก็ติดต่อขอถ่ายภาพรวม จึงได้ไปที่สตูดิโอของเขาและก็รู้จักกันนับแต่นั้น (2)
วันที่ 4 กรกฎาคม 1862 ดอดจ์สันนั่งเรื่อจากอ็อกซ์ฟอร์ดไปยังเมืองก็อดสโตว์กับบาทหลวง และพี่น้องเด็กๆสามคน ซึ่งหนึ่งในนั้นคืออลิสวัย 10 ขวบ และดอดจ์สันก็รับหน้าที่เล่านิทานแต่งเรื่องให้เด็กๆ ตัวละครแปลกๆต่างๆ และเขาก็แต่งให้อลิสเป็นตัวเอกของเรื่อง (3)
อลิสชอบเรื่องนี้มากจึงขอให้ดอดจ์สันเขียนมันลงหนังสือ และนั่นคือจุดเริ่มต้นของ Alice in Wonderland ค่ะ ซึ่งจริงๆแล้วดอดจ์สันเนี่ยเป็นคนรักเด็ก มีหลักฐานว่าเขาเป็นเพื่อนกับเด็กสาววัยละอ่อนมากมาย แต่อลิสถือเป็นคนพิเศษของเขา (4)
แม้ไม่มีหลักฐานว่าดอดจ์สันมีอะไรเกินเลยกับเด็กสาวเหล่านั้น แต่ผลงานหลายๆอย่างของเขาก็มีความน่าสงสัย เช่น ภาพถ่ายและภาพวาดของเขาส่วนมากจะเป็นเด็กสาวอายุ 10-15 ปี ไม่สวมใส่อะไรเลยหรือใส่เสื้อน้อยชิ้น รวมถึงเขาเคยเขียนไว้ว่า ‘เด็กสาววัยประมาณ 12 ปีคือความสวยแบบในสเป็ค’ (5)
อย่างไรก็ตาม ก็มีคนแย้งว่าในยุควิคตอเรียน เป็นเรื่องปกติที่มีภาพเด็กเปลือยบนโปสการ์ดหรือผลงานศิลปะ เพราะเด็กถือว่าเป็นความบริสุทธิ์ ไม่ได้ถูกมองไปในทางเพศแต่งอย่างใด ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่มีใครตอบได้ว่าดอดจ์สันคิดอะไรอยู่กันแน่ (6)
ในปี 1863 อะไรบางอย่างทำให้ความสัมพันธ์ของอลิสกับดอดจ์สันยุติลงอยู่หลายเดือน ทั้งที่ก่อนหน้านี้พวกเขาเจอกันเกือบทุกวัน ไดอารี่ของเขาก็ถูกฉีกออก จึงมีคนตั้งข้อสันนิษฐานว่าดอดจ์สันอาจตั้งใจจะแต่งงานกับอลิสวัย 11 ปี และคำขอของเขาก็ถูกปฏิเสธโดยครอบครัวของอลิส (7)